เอสซีจีเซรามิกส์ เผยไตรมาส 3 ปี 2563 กำไรยังเติบโตดี เร่งผลักดันสินค้าปูพื้นและบริการใหม่เสริมรายได้ มั่นใจขยายสาขา “คลังเซรามิค” ตามเป้าหมาย ไม่หวั่นตลาดซบเซา
นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด มหาชน (COTTO) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และคัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยถึงงบการเงินรวมก่อนสอบทาน ของ COTTO ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,640 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้ปริมาณขายลดลง และราคาขายเฉลี่ยลดลงเล็กน้อย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมีกำไร 171 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนพลังงานลดลงจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
“ช่วงที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ความต้องการของตลาดยังคงอ่อนตัวจากมาตรการปิดเมืองซึ่งกระทบต่อความต้องการของตลาดเซรามิกด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณายอดขายของบริษัท ในไตรมาสนี้ลดลงเพียง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถือว่าเรายังมีความสามารถในการทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ ในสถานการณ์ที่ปัจจัยภายนอกรวมถึงสถานการณ์ตลาดไม่เอื้ออำนวย เราจึงหันมาให้ความสำคัญต่อการควบคุมปัจจัยภายในอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องการลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม CLM จากการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพม่า ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการออกมาตรการจำกัดจำนวนรถขนส่งสินค้าเข้าประเทศ รวมถึงมาตรการควบคุมพรมแดนอย่างเข้มงวดในจุดอื่นๆ ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าข้ามแดน และล่าสุดมาตรการล็อกดาวน์ของพม่ามีผลกระทบโดยตรงต่อการขายสินค้าด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และได้ปรับกลยุทธ์การส่งออกในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินงานที่สำคัญในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นร้านผู้แทนจำหน่าย ร้านโมเดิร์นเทรด และคลังเซรามิค โดยไตรมาสนี้ บริษัทฯ ยังคงทยอยเปิด “คลังเซรามิค” สาขาใหม่เพิ่มตามแผนงาน ขณะนี้สามารถเปิดได้ 35 สาขาแล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินการให้ครบตามเป้าหมาย 42 สาขาในปีนี้ได้อย่างแน่นอน
"แม้ว่าตลาดเซรามิกในไตรมาสนี้จะยังไม่คึกคักและมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงตามสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์และสิ่งก่อสร้าง แต่เรายังคงเดินหน้าเพิ่มจำนวนสาขาของ “คลังเซรามิค” ให้ได้ตามแผนงานโดยพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายของแต่ละสาขาให้ต่ำที่สุด ตามกลยุทธ์หลักของเราที่จะสร้างช่องทางการขายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นร้านผู้แทนจำหน่าย ร้านค้าปลีก ร้านค้าช่วง โมเดิร์นเทรด และ COTTOLife ออนไลน์ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะเข้าถึงและซื้อสินค้าได้สะดวกมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและสร้างรายได้ให้บริษัท รวมทั้งเป็นช่องทางติดต่อและแนะนำสินค้าและบริการใหม่ด้วย"
เพื่อให้สอดคล้องต่อสภาพตลาดในประเทศ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์หดตัวลงตามกำลังซื้อจึงทำให้ตลาดเซรามิกซบเซาลงด้วย บริษัทฯ จึงเร่งแผนงานขยายการให้บริการโซลูชันและสินค้าใหม่นอกเหนือจากการขายสินค้ากระเบื้องเซรามิก ได้แก่ แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexibleby COTTO ซึ่งเป็นวัสดุปูพื้นที่มีดีไซน์สวยงาม ติดตั้งง่ายรวดเร็วและเป็นมิตรต่อสิ่งแวด ล้อม รวมถึงธุรกิจให้บริการติดตั้งภายใต้ชื่อ C’TIS (Certified Tile Installation Service)โดยทั้ง 2 ธุรกิจเริ่มมีการเติบโตและสร้างรายได้ให้แก่บริษัท
“ผู้บริโภคยังมีความต้องการวัสดุกรุผิวประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากกระเบื้องเซรามิก ทั้งในด้านของสินค้าและบริการติดตั้ง ประกอบกับตลาดต่อเติมและปรับปรุงที่อยู่อาศัยเดิมยังพอไปได้ เพราะผู้บริโภคหันมาปรับปรุงบ้านแทนการสร้างหรือซื้อบ้านใหม่กันมากขึ้น ถือว่าเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่จะเร่งพัฒนาและคัดสรรสินค้าใหม่และนำเสนอบริการติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เพราะขณะนี้เรามีความพร้อมทั้งในเรื่องสินค้า และมีทีมงานที่มีประสบการณ์ในเรื่องการติดตั้งวัสดุกรุผิวประเภทต่างๆ อยู่แล้ว”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เริ่มรุกขยายธุรกิจด้านพลังงานอย่างจริงจัง ภายใต้แบรนด์ “SUSUNN” เพื่อดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษา ออกแบบ จัดจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิต กระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดหลากหลายประเภทโดยเฉพาะระบบโซลาร์เซลส์ รวมถึงธุรกิจให้บริการออกแบบและวางแผนระบบออโตเมชันและการบริหารจัดการในโรงงานตามแนวทางของอุตสาหกรรม 4.0 ตลอดจนวางระบบการจัดการนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ
“บริษัทฯ มีทีม Engineering Solution Business ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและพลังงานทดแทนที่มีประสบการณ์ คว้ารางวัลด้านการอนุรักษ์พลังงานทั้งในและต่างประเทศจากหลายสถาบันติดต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง เราจึงเล็งเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ได้ เนื่องจากเรามีความพร้อมทั้งในด้านทีมงาน และธุรกิจพลังงานทดแทนก็เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง ขณะนี้เรามีกลุ่มลูกค้าที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารขนาดใหญ่ที่มีความต้องการใช้พลังงานจำนวนมาก คาดว่าในอนาคตจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ และเป็นธุรกิจที่จะเติบโตต่อไป”