ภาพรวมทิศทางการลงทุน 10 เดือนแรกปี 2563 “ทองคำ” ถูกยกให้เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนในระดับสูง ตามมาด้วย “หุ้นต่างประเทศ” ที่โดดเด่นรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยกระจายความเสี่ยง ปิดท้ายด้วยการเพิ่มสัดส่วน “ถือเงินสด” เพื่อรอดูสถานการณ์ ลดความวิตกกังวลในยามวิกฤต
ต้องยอมรับว่าในปี 2563 การลงทุนโดยให้น้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมากๆ ไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีกลับคืนสู่นักลงทุนมากเท่าใด เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กดดัน และสถานการณ์การชุมนุมในประเทศที่กำลังรุนแรงต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม พบว่า นอกเหนือจากการแนะนำเข้าลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดีราคาถูก เพื่อรอรับการฟื้นตัว หรือการคลี่คลายของสถานการณ์ต่างๆ แล้ว ยังมีทางเลือกการลงทุนประเภทอื่นที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าหรือช่วยลดความเสี่ยงด้านการลงทุนต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นั่นคือ การหันมาเพิ่มน้ำหนักต่อการลงทุนในทองคำ รวมถึงการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง และการเพิ่มสัดส่วนการถือเงินสดในสัดส่วนที่มากขึ้นเพื่อผ่อนคลายความกังวลนั่นเอง
ทองคำภาพรวมยังขึ้นต่อเนื่อง
ล่าสุด ภาพรวมราคาทองคำในช่วงที่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำ spot เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,872-1,933 ดอลลาร์ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองคำผันผวนมากที่สุด โดยขึ้นอยู่กับความหวัง หรือความไม่แน่นอนในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ทำเนียบขาวและพรรคเดโมแครตอาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำปรับลงหลุด 1,900 ดอลลาร์ แต่ราคาทองคำกลับมาปรับขึ้นทะลุ 1,900 ดอลลาร์ได้ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 รอบ 2 ในยุโรป ทำให้หลายประเทศต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาด โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี ทำให้คาดจะกระทบต่อเศรษฐกิจในยุโรปและเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ทิศทางของราคาทองคำในช่วงเวลาจากนี้ถึงเดือนพฤศจิกายน มีประเด็นหลักที่ต้องติดตามคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 โดยผลสำรวจทุกโพลชี้ว่าคะแนนความนิยมของ “โจ ไบเดน” ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต นำ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งนำไปสู่คาดการณ์ว่า หาก กรณีที่ โจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก เนื่องจากมีแนวนโยบายที่จะใช้มาตรการทางการคลังขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการสุขภาพ และการลงทุนพัฒนาพลังงานสะอาด
ไม่เพียงเท่านี้ นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศมีท่าทีประนีประนอมกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นมากกว่าทองคำ ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่น่าจะปรับขึ้น ขณะที่ทองคำอาจปรับขึ้นในกรอบที่จำกัดในระยะสั้น แต่ในระยะยาวทองคำ คาดจะได้รับผลบวกมากกว่าเนื่องจากหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ คาดจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการใช้มาตรการทางการคลังขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” กลับมาชนะการเลือกตั้งอีกสมัย มองว่าในระยะสั้นคาดจะมีแรงซื้อทองคำเข้ามาและทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับขึ้น เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจกลับมาตึงเครียดขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องติดตามการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรป ซึ่งถ้าทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ อาจจะทำให้อังกฤษต้องแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปในสิ้นปีนี้ โดยไม่มีข้อตกลง (no-deal Brexit) ทำให้มีแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ดังนั้น แนวโน้มราคาทองคำเดือนพฤศจิกายนคาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,850-1,950 ดอลลาร์ ทั้งนี้ มองว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทำให้ราคาทองคำผันผวนได้ขึ้นอยู่กับใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ส่วนการปรับลงของราคาทองคำยังแนะนำทยอยซื้อสะสมได้ที่บริเวณราคาทองคำ spot 1,850-1,870 ดอลลาร์
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่าทิศทางการปรับตัวขึ้นลงของราคาทองคำในช่วงเวลาต่อจากนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เนื่องจากการมีประธานาธิบดีใหม่นั้นมีผลต่อการกำหนดแนวทางทั้งการเมืองระหว่างประเทศ และนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ เพราะช่วงเหตุการณ์ระดับโลกแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ตลาดการเงินจะมีความผันผวนของราคาที่สูงกว่าภาวะปกติ
ขณะเดียวกัน หลังจากการล่มสลายลงของระบบการเงินแบบ Bretton Wood ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่มากระทบกับราคาทองคำก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เช่น การที่ประเทศจะพิมพ์เงินสกุลต่างๆ ออกมา ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องมีทองคำหนุนหลังก็สามารถพิมพ์ได้แล้ว แต่ยังมีหลายต่อหลายคนคิดว่าจะพิมพ์เงินต้องมีทองอยู่ โดยหากมองแบบระยะยาว จะพบว่าทองคำก็มี Trend ของราคาที่ค่อนข้างชัดเจนคือ ขึ้นในระยะยาว อย่างในปี 2563 ราคาทองคำได้ทำเลยจุดสูงสุดใหม่ไปแล้วก่อนการเลือกตั้งไปแล้วกว่า 26,000 บาท นำไปสู่ทฤษฎีว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ นั้นน่าจะเข้ามาสร้างความผันผวนในระยะสั้นแก่ราคาทองคำเท่านั้น
ล่าสุด “ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์ อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) แสดงความเห็นว่า แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วงไตรมาส 3/63 พบว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนรวมส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะชะลอตัวกว่าไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ดี กลุ่มกองทุนทองคำยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีสวนทางกับกองทุนประเภทอื่นๆ เช่น กองทุนผสม กองทุนตราสารทุน และกองทุนตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ แม้เมื่อเร็วๆ นี้ ราคาทองคำในตลาดโลกอาจมีการปรับตัวลงมาบ้างในไตรมาสล่าสุด แต่กองทุนทองคำยังมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 6.7% ทำให้ยังเป็นกลุ่มที่มีผลตอบแทนสูงติดอันดับในรอบ 1 ปีที่ 25.9% ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากกองทุนเทคโนโลยีต่างประเทศ (Global Technology) และกองทุนธุรกิจการแพทย์ต่างประเทศ (Global Health Care)
หุ้นต่างประเทศอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่สนใจลงทุนในหุ้นกันมากขึ้น สังเกตได้จากพฤติกรรมการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดพอร์ตหุ้น การเลือกนโยบายหุ้นในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ทั้งแบบลงทุนทั่วไปและลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี เนื่องจากเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นเป็นช่องทางในการต่อยอดเงิน สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีเอาชนะเงินเฟ้อได้ แต่จากช่วงที่ผ่านมา หุ้นไทยมีความผันผวน ผลตอบแทนไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง จนส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งโดยรวม ทำให้ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ใด สินทรัพย์หนึ่งเยอะจนเกินไป และทำให้เริ่มมีการแนะนำเพิ่มนักหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้น เพราะเป็นการกระจายความเสี่ยงในอีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากในโลกของการลงทุนแต่ละประเทศก็จะมีความโดดเด่นในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป
“วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด แสดงความเห็นว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลก ปี 2564 อาจมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำ จากการระบาดของโควิด-19 รอบ 2 โดยทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2564 จะเติบโตต่ำกว่า 1% จากเดิมคาดการณ์ว่าจะโตมากกว่า 4% โดยผลกระทบจากโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างช้าๆ ต้องใช้เวลาจนถึงปี 2567 ถึงจะเติบโตได้ 2% ส่วนผลกระทบที่เกิดกับตลาดหุ้นไทย จะเห็นตลาดหุ้นปรับลดลงในไตรมาสแรกปี 2564 ก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาส 2 ปี 2564 เนื่องจากฐานจีดีพีที่ติดลบในไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้การกระจายสินทรัพย์เพื่อลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารสินทรัพย์ เพื่อคงการรักษาผลตอบแทน จะเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2564
โดยมีรายงานว่า ปี 2562-2563 สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอันดับต้นๆ คือดัชนี NASDAQ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งให้ผลตอบแทน 35% ในปี 2562 และ 20% ในปี 2563 บิทคอยน์ ให้ผลตอบแทน 95% ในปี 2562 และ 46% ในปี 2563 ทองคำในรูปเหรียญสหรัฐให้ผลตอบแทน 18% ในปี 2562 และ 25% ในปี 2563 ส่วนหุ้นจีน ให้ผลตอบแทน 22% ในปี 2562 และ 7% ในปี2563 แต่หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 1% ในปี 2562 และ ติดลบ 20% ในปี 2563
ขณะที่ไตรมาส 4 ปีนี้ การลงทุนอาจจะผันผวนหนักมาก เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) อาจจะรอความชัดเจนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนอาจจะเลือกหุ้นที่มีลักษณะปลอดภัย และลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่า แต่ยังคาดว่าตลาดหุ้นไทยและกลุ่มตลาดในประเทศเกิดใหม่ อาจได้ผลบวกจากการมีความชัดเจนขึ้นของนโยบายประเทศทางฝั่งตะวันตก ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
จึงแนะนำกลยุทธ์ การลงทุนปี 2564 ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทย 10-20% เน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นจีนและเวียดนามรวมกัน 10% ลงทุนในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว 10-20% เนื่องจากระดับผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดเกิดใหม่ และอีก 5-10% ลงทุนในทองคำ อีก 1-5% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ส่วนอีก 35% ถือเป็นเงินสด เพื่อสร้างโอกาสที่ดีให้แก่นักลงทุนในจังหวะตลาดปรับตัวลดลง
สำหรับปัจจัยสนับสนุนการลงทุนหุ้นเวียดนาม คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ในแบบ V Shape คาดการณ์จีดีพีเติบโต 2.7-3% ในปีนี้ และกว่า 6-8% ในปี 2564 ขณะที่ช่วงโควิด-19 จีดีพีหลายประเทศติดลบ รวมทั้งค่าเงินดองเวียดนาม ที่มีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าในอดีต ทุนสำรองระหว่างประเทศของเวียดนามสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน เวียดนามกำลังจะขยับขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในดัชนี MSCI Frontier composite ในปี 2564 ซึ่งจะส่งผลดีกับเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้ กฎหมายและเกณฑ์ใหม่ๆ ที่กำลังมีผลบังคับใช้จะช่วยให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าถึงตลาดหุ้นเวียดนามได้ง่ายขึ้น
ถือเงินสดยังอุ่นใจเสมอ
ความเห็นดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของ บล.เอเซียพลัส จำกัด โดยแนะจับตาความคืบหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ผลการหารือของพรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงท่าทีของรัฐบาลที่แถลงออกมาอันนำไปสู่การเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ (สมัยประชุมสามัญจะเริ่ม 1 พ.ย.2563) เพราะในอดีต การเมืองกดดันตลาดปรับฐานแรง แต่มักไม่นาน ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากประเด็นการเมืองเป็นหลักเพียงแค่ 3 วัน
ทำให้กลยุทธ์การลงทุนสอดคล้องกับข้อมูลในอดีตคือเวลาที่เหตุการณ์ทางการเมืองร้อนแรงหุ้นมักจะปรับฐานเร็วและแรงเสมอ แต่ก็พร้อมจะฟื้นกลับได้เร็วเช่นกัน สะท้อนจากข้อมูล P/E, SET Index รวมถึงระยะเวลาในการปรับฐานของดัชนีหลังจากรัฐประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 1 เดือนให้หลังจาก 4 เหตุการณ์สำคัญในอดีต (เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ, กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. และคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.) พบว่า P/E ลดลงแรงสุด 0 ถึง 1 เท่า
ขณะที่ SET Index ลดลง 0 ถึง 7.4% (ตอนนี้ลดลงมาแล้ว 4.4%) และระยะเวลาในการปรับลงจนถึงจุดต่ำสุดคือ 0-11 วัน (ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 2 วัน) เหตุการณ์ทางการเมือง 3 ใน 4 ครั้งตามมาด้วยการรัฐประหาร ส่วนอีก 1 ครั้งทหารเข้าทำการสลายม็อบ โดยหวังผลการฟื้นกลับเร็วดังข้อมูลในอดีต หากมีความคืบหน้าในทิศทางที่ดีขึ้น ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนตอนนี้ยังแนะนำถือเงินสด 35% ของพอร์ตการลงทุนส่วนอีก 65% เน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูง ได้แก่ บมจ.ไดนาสตี้เซรามิค (DCC), บมจ.เจ มาร์ท (JMART), บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) รวมถึงหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นอยู่กับลักษณะเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก พึ่งพิงสภาพเศรษฐกิจในประเทศน้อย หรือ Global Play เลือก บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เป็นต้น
สำหรับการเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะใช้กลไกของสภาฯ เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่านอกจากการแสดงความเห็นของฝ่ายต่างๆ ในสภาฯ แล้วจะมีความคืบหน้าใดๆ ที่ตอบสนองหรือเยียวยาข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม (กลุ่มคณะราษฎร 2563) และทำให้สถานการณ์การชุมนุมคลายลงได้หรือไม่ จากการที่ติดตามสถานการณ์พบว่าข้อเรียกร้องหลักที่กลไกของรัฐสภาพอที่จะเยียวยา แต่ก็น่าจะเป็นเรื่องการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากการเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญแล้วจึงต้องติดตามดูว่าจะมีแนวทางใดที่จะทำให้เกิดความผ่อนคลายของสถานการณ์ได้หรือไม่สำหรับข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือใช้อำนาจยุบสภาฯ แม้ในทางปฏิบัติสามารถทำได้ แต่ภายใต้กติกาการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีและการเลือกตั้งที่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบันอาจทำให้ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไป
ทำให้โดยภาพรวมทาง การเมืองแล้วยังมีโอกาสที่จะสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ได้ต่อ โดยอาจเห็นแรงขายออกมาจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศอยู่ นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การลงทุนตามพอร์ตจำลองยังให้ถือครองเงินสด 35% และหุ้นที่เลือกเน้นไปในกลุ่ม Global Pay และหุ้น High Dividend Yield