LEO ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรครอบคลุมทั่วโลกตั้ง TRINITY เป็นลีดอันเดอร์ไรเตอร์ เคาะราคาไอพีโอ 3.42 บาท พร้อมเปิดจองซื้อ 28-30 ต.ค.63 คาดเข้าซื้อขายวันแรก 5 พ.ย.นี้
นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) "LEO" ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรครอบคลุมทั่วโลก (End - to - End Global Logistics Services) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.42 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) 27.40 เท่า มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่สอดคล้องกับสภาวะของตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 เดือนตุลาคม 2563 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในวันที่ 5 เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขาย ว่า LEO
การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัท บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในอุตสาหกรรมการการให้บริการโลจิสติกส์ได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยมั่นใจว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่อยู่ในธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ แม้จะเกิดภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หลายธุรกิจทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบ
ด้าน นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริษัท ประธานคณะผู้บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) "LEO" เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปลงทุนในธุรกิจ Leo Self Storage & E-Fulfillment จำนวน 2 โครงการ นำเงินไปพัฒนาระบบขนส่งผ่านแดนไปยังประเทศพม่า นำเงินไปขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และเป็นเงินทุนในการเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและกลุ่ม ASEAN เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างมั่งคงและสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น หลังการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในอนาคตอันใกล้
"สำหรับผลดำเนินการของบริษัทในช่วงปี 2560-2562 บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 268.06 ล้านบาท 282.70 ล้านบาท และ 312.43 ล้านบาท ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 มีกำไรขั้นต้น 155.26 ล้านบาท ลดลงจาก 169.97 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และกำไรสุทธิในช่วงปี 2560-2562 เท่ากับ 17.75 ล้านบาท 26.86 ล้านบาท และ 47.03 ล้านบาท ตามลำดับ และกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกปี 2563 เท่ากับ 28.25 ล้านบาท ลดลง 7.09 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 แต่หลังจากรัฐบาลคลายล็อกมาตรการต่างๆ ธุรกิจก็เริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2 จากวิกฤตโควิด-19 ที่คลี่คลาย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีกับธุรกิจโลจิสติกในภาพรวมและบริษัทด้วยเช่นกัน" นายเกตติวิทย์ กล่าว