ผู้ถือหุ้น PSTC ลงมติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 อัตราหุ้นละ0.010 บาท เตรียมรับเงินสด 29 พ.ค.นี้ เตรียมยื่นเรื่องขอย้ายหุ้นจาก ตลาด mai ไปเทรดใน SET ฟาก "นายพระนาย กังวาลรัตน์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุว่าสถานการณ์ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ารายได้ปี 63 เติบโต 5%จากแบ็คล็อกตุนไว้เกือบ 3,000 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 12 โครงการ ขนาดกำลังผลิตรวม 34.6 เมกะวัตต์
นายพระนาย กังวาลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (PSTC) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2563 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 ได้มีมติให้บริษัทฯจ่ายเงินปันผลงวดปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.010 บาท รวมเป็นเงิน 118,597,478.96 บาท จากกำไรสุทธิ และกำไรสะสม โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date)ในวันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 29 พฤษภาคม 2563
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน จาก 1,185,974,789.60 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 1,185,974,790 บาท หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด(Private Placement) จำนวน 4 หุ้น ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯมีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิมหุ้นละ 0.10 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท ทำให้เกิดเศษหุ้นที่เหลือ ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคุณสมบัติตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการย้ายจากหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้ต้องเพิ่มทุน เพื่อไม่ให้เกิดเศษหุ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้น เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ
"บริษัทฯมีความมั่นใจว่า ภายหลังจากการที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทุนให้เป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แล้ว คาดว่า จะสามารถยื่นขอย้ายหุ้นจากตลาดmaiไปเทรดในSETได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจภาพรวมของไทยจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนา (COVID-19) ระบาดต่อเนื่อง แต่บริษัทฯมั่นใจว่าจะสามารถพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2563 บริษัทเชื่อว่ายังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 5% เนื่องจากธุรกิจทุกกลุ่มมีสัญญาณที่ดี รวมทั้งมีงานในมือรอรับรู้รายได้(backlog)ในส่วนของธุรกิจ EPC ไว้แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง และรวมถึงมีการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของบริษัทและบริษัทย่อยทุกโครงการ ประกอบด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ และพลังงานชีวมวล ได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวงแล้ว เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 12 โครงการ มีขนาดกำลังการผลิตรวม 34.6 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ยังเตรียมงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเน้นการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้า Private PPA เพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยปัจจุบันบริษัทฯมีความพร้อมทั้งแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี รวมทั้งยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจด้านการจำหน่ายระบบก๊าซ LNG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มเติมอีกด้วย