นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ กลุ่ม บล.ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) เปิดเผยว่า จากการเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ LEO จำนวน 120 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.42 บาท มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 ต.ค. นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก จากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ประกอบกับราคาดังกล่าวถือเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะตลาดในปัจจุบัน
สำหรับสัดส่วนการเสนอขายหุ้น 120 ล้านหุ้น ได้เสนอขายต่อบุคคลทั่วไป 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 75% ของหุ้นที่เสนอขาย เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ 18 ล้านหุ้น คิดเป็น 15% ของหุ้นที่เสนอขาย และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัทฯ อีก 12 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของหุ้นที่เสนอขาย โดยคาดว่าจะระดมทุนได้ประมาณ 410 ล้านบาท
ทั้งนี้ บล.ทรีนีตี้ เชื่อมั่นว่าการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ หุ้น LEO จะได้รับการตอบรับที่ดี จากการที่บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมถึงการมีประสบการณ์การให้บริการมากกว่า 29 ปี ที่สำคัญอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจและการค้า และธุรกิจมีโอกาสเติบโตที่ดีทั้งจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการชะลอตัวจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้ในการขยายช่องทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริษัท ประธานคณะผู้บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนให้การตอบรับจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทและตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจในฐานะผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่ครอบคลุมทั่วโลก End -to-End Global Logistics Services ที่มีประสบการณ์มาเกือบ 30 ปี
"เป้าหมายการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ครั้งนี้ จะนำมาใช้ขยายงานให้บริการโลจิสติกส์ ครบวงจรทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาระบบขนส่งผ่านแดนไปยังประเทศพม่า การขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท และเป็นเงินทุนในการเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและกลุ่ม ASEAN ที่เหลือจากการระดมทุนจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ต่อไปในอนาคต" นายเกตติวิทย์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28 ล้านบาท เป็นผลมาจากปัจจัยบวกของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้มีปริมาณนำเข้าและส่งออกเพิ่มขึ้น จากความต้องการสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าปัจจัยที่เป็นบวกดังกล่าว จะทำให้ครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าครึ่งปีแรก ส่วนอัตรากำไรในครึ่งปีหลังของคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือไม่ต่ำกว่าครึ่งปีแรกเช่นกัน
สำหรับรายได้รวมบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,047 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 47 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักของบริษัทฯ มาจาก 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การบริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล (Sea Freight) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้หลักคิดเป็น 64% การบริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) สัดส่วน 19% การบริการสนับสนุนการให้บริการโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services หรือ ILS) มีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 16% และที่เหลือประมาณ 1% สำหรับธุรกิจบริการพื้นที่สำหรับเก็บของ (Leo Self Stroage หรือ LSS) สัดส่วน 0.59%