ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ชี้ปัจจัยลบภายในประเทศดึงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า แนะ 2 เดือนที่เหลือของปีเร่งฟื้นความมั่นใจในประเทศ มุ่งเป้าเรียกความเชื่อมั่นต่างชาติในปีหน้า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดสรุป 10 ข้อเศรษฐกิจไทย 2563 และปัจจัยเบื้องต้นผลักดันเศรษฐกิจในปี 2564 โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว ประเมินทั้งปีเศรษฐกิจจะหดตัวร้อยละ 8 อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้า จากปัจจัยลบภายในประเทศ และความไม่แน่นอนต่างประเทศ โดยคาดจะฟื้นกลับมาเติบโตที่ร้อยละ 2 ในปี 2564 ขณะที่ตัวเลขส่งออกของประเทศเกิดใหม่ และภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้น แต่กลไกขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย คือ การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น ดังนั้น ถึงแม้ว่าการส่งออกจะดีขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่มั่นคง ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
พร้อมกันนั้น ต้องจับตามองทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ตลาดการเงินได้มากน้อยเพียงใด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งใช้เวลากว่า 3 เดือนกว่าจะได้ทีมใหม่ รวมถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร ซึ่งบนพื้นฐานว่าเศรษฐกิจไทยยังติดลบอยู่ ประเด็นนี้อาจกระทบการฟื้นตัว ดังนั้น จากที่มีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจและรอนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทีมใหม่ ในขณะที่การเมืองยังอยู่ในช่วงติดตามดูสถานการณ์ ส่งผลให้ไม่กระทบต่อค่าเงินบาทมากนัก โดยธนาคารคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ราว 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสิ้นปีนี้
นายทิม กล่าวว่า ภาพรวมยังอยู่ในลักษณะ "ติดตามสถานการณ์" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคลัง การเบิกจ่าย สถานการณ์การเมือง การเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว การคิดค้นวัคซีนต้านโควิด-19 เพราะฉะนั้น ยังอาจไม่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความมั่นใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ตลาดการเงินอาจจะเริ่มมั่นใจได้มากขึ้น หากเริ่มเห็นการเบิกจ่ายของรัฐบาลในทิศทางที่ดีขึ้น การลงทุนของรัฐบาล น่าจะเป็นตัวนำให้ภาคเอกชนลงทุนในประเทศตาม เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และเราเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ก็อยู่ในภาวะ “ติดตามสถานการณ์” เช่นเดียวกัน ถ้าสถานการณ์ยังทรงตัวและเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ธปท.น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงในช่วงในไตรมาสนี้ โอกาสที่ ธปท. จะลดดอกเบี้ยไปที่ 0.25% ก่อนสิ้นปีก็เป็นไปได้
"เราเชื่อว่าตลาดการเงินยังให้ความสนใจว่า นอกเหนือจากการลดดอกเบี้ย ธปท.มีนโยบายการเงินทางเลือกอะไร ที่อาจนำมาใช้ในปี 2564 จะเป็น QE หรือ yield curve control หรือนโยบายช่วยเหลือ SMEs เพิ่ม รูปแบบ ประสิทธิภาพ ความเหมาะสมของนโยบายเหล่านั้นสำหรับเศรษฐกิจไทย ผลลัพธ์คาดการณ์น่าจะเป็นประเด็นที่ตลาดการเงินและนักลงทุนให้ความสนใจต่อเนื่องไปถึงปีหน้า"
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดสรุป 10 ข้อเศรษฐกิจไทย 2563 และปัจจัยเบื้องต้นผลักดันเศรษฐกิจในปี 2564 โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้ว ประเมินทั้งปีเศรษฐกิจจะหดตัวร้อยละ 8 อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างช้า จากปัจจัยลบภายในประเทศ และความไม่แน่นอนต่างประเทศ โดยคาดจะฟื้นกลับมาเติบโตที่ร้อยละ 2 ในปี 2564 ขณะที่ตัวเลขส่งออกของประเทศเกิดใหม่ และภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้น แต่กลไกขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย คือ การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้น ดังนั้น ถึงแม้ว่าการส่งออกจะดีขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมจะยังไม่มั่นคง ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้
พร้อมกันนั้น ต้องจับตามองทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ตลาดการเงินได้มากน้อยเพียงใด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งใช้เวลากว่า 3 เดือนกว่าจะได้ทีมใหม่ รวมถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร ซึ่งบนพื้นฐานว่าเศรษฐกิจไทยยังติดลบอยู่ ประเด็นนี้อาจกระทบการฟื้นตัว ดังนั้น จากที่มีการเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจและรอนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทีมใหม่ ในขณะที่การเมืองยังอยู่ในช่วงติดตามดูสถานการณ์ ส่งผลให้ไม่กระทบต่อค่าเงินบาทมากนัก โดยธนาคารคาดว่าค่าเงินบาทจะอยู่ที่ราว 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในสิ้นปีนี้
นายทิม กล่าวว่า ภาพรวมยังอยู่ในลักษณะ "ติดตามสถานการณ์" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคลัง การเบิกจ่าย สถานการณ์การเมือง การเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว การคิดค้นวัคซีนต้านโควิด-19 เพราะฉะนั้น ยังอาจไม่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดความมั่นใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ตลาดการเงินอาจจะเริ่มมั่นใจได้มากขึ้น หากเริ่มเห็นการเบิกจ่ายของรัฐบาลในทิศทางที่ดีขึ้น การลงทุนของรัฐบาล น่าจะเป็นตัวนำให้ภาคเอกชนลงทุนในประเทศตาม เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และเราเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ก็อยู่ในภาวะ “ติดตามสถานการณ์” เช่นเดียวกัน ถ้าสถานการณ์ยังทรงตัวและเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น ธปท.น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงในช่วงในไตรมาสนี้ โอกาสที่ ธปท. จะลดดอกเบี้ยไปที่ 0.25% ก่อนสิ้นปีก็เป็นไปได้
"เราเชื่อว่าตลาดการเงินยังให้ความสนใจว่า นอกเหนือจากการลดดอกเบี้ย ธปท.มีนโยบายการเงินทางเลือกอะไร ที่อาจนำมาใช้ในปี 2564 จะเป็น QE หรือ yield curve control หรือนโยบายช่วยเหลือ SMEs เพิ่ม รูปแบบ ประสิทธิภาพ ความเหมาะสมของนโยบายเหล่านั้นสำหรับเศรษฐกิจไทย ผลลัพธ์คาดการณ์น่าจะเป็นประเด็นที่ตลาดการเงินและนักลงทุนให้ความสนใจต่อเนื่องไปถึงปีหน้า"