คลังตอบโต้ "คุณหญิงสุดารัตน์" กล่าวหารัฐบาลไม่ดูแลเอสเอ็มอี ปล่อยให้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ยืนยันมีมาตรการด้านการเงินช่วยเหลือและสนับสนุนเอสเอ็มอี
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ได้ออกชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล SMEs จากการแชร์ข้อมูลของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่า
1) เนื่องด้วยมีข้อเสนอแนะจากหลายภาคส่วน ให้รัฐบาลช่วยเหลือ SMEs ที่ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลในปัจจุบัน เช่น Soft Loan 500,000 ล้านบาท ของ ธปท. SMEs กว่า 90% เข้าไม่ถึง และขอให้รัฐบาลเร่งดูแลธุรกิจ SMEs เช่น การพักชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี ปรับมาตรการให้ SMEs ที่อยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์สามารถกู้เงินมาเสริมสภาพคล่องได้จริง ตั้งกองทุน SMEs เพื่อให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่อยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์
2) เห็นควรใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์แนวทาง/มาตรการ และผลการดำเนินการช่วยเหลือ SMEs เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ต่อประชาชน
ทั้งนี้ สศค. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่าปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการด้านการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ SMEs ดังนี้
1.พ.ร.ก. Soft Loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยแบ่งการให้ความช่วยเหลือได้ ดังนี้
1) มาตรการสินเชื่อเพิ่มเติม วงเงินรวม 500,000 ล้านบาท โดย ธปท. ให้สถาบันการเงินกู้ยืมในอัตรา 0.01% ต่อปี เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ให้แก่ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 500 ล้านบาท วงเงินไม่เกิน 20% ของยอดสินเชื่อคงค้างของลูกหนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 คิดดอกเบี้ย 2% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี โดย SMEs ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
2) พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 เพื่อให้ SMEs ไม่ต้องมีภาระในการชำระหนี้แก่สถาบันการเงินเป็นระยะเวลา 6 เดือน
2.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส วงเงินค้ำประกัน 57,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่มีคุณสมบัติตาม พ.ร.ก. Soft Loan คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 8 ปี โดยเริ่มค้ำประกันและเก็บค่าธรรมเนียมในต้นปีที่ 3 นับจากวันที่ได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก. Soft Loan เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs เพิ่มขึ้น และสามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ SMEs ได้ยาวขึ้น ทำให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อ และให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อตาม พ.ร.ก. Soft Loan ได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ SMEs ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ดังนี้
1.ธนาคารออมสินดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น SMEs ทั่วไปและ SMEs ในธุรกิจท่องเที่ยวกลุ่มละ 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี และสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อต่อให้ SMEs วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยร้อยละ 2% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี โดยธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อให้ SMEs โดยตรงจำนวน 3,000 ล้านบาท และยังมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs ขนาดเล็กในธุรกิจท่องเที่ยวและ Supply Chain วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท วงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ 5 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี
2.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ดำเนินโครงการสินเชื่อ Extra Cash วงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับ SMEs ขนาดย่อมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี
3.บสย. ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 8 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs ทั่วไป วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย ในอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ค้ำประกัน 10 ปี
4.รัฐบาลยังมีโครงการช่วยเหลือ SMEs รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. โดยให้สินเชื่อแก่ SMEs ทั่วไป รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระยะเวลากู้ 7 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับสมาคมสถาบันการเงินของรัฐจัดทำเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน-ด้านการเงิน.com และ ธปท. ได้จัดทำเว็บไซต์ www.bot.or.th/covid19 เพื่อรวบรวมมาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลและมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยกระทรวงการคลังได้มีติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนแก้ไขปัญหาข้อติดขัดในการดำเนินมาตรการต่างๆ และพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันการณ์ต่อไป