“ออริจิ้น” โชว์ผลงาน 9 เดือนแรกกวาดยอดขาย 19,000 ล้านบาท คิดเป็น 88% ของเป้าทั้งปี หลังไตรมาส 3 สร้างปรากฏการณ์วงปิดการขาย “ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช” ภายใน 1 ชั่วโมง ท่ามกลางวิกฤตคอนโดล้นตลาด ชู “Origin Next Normal, The 1st Wave” เปิดขายออนไลน์ 100% พร้อมสร้างยอดขายโครงการ Ready to move ดีต่อเนื่อง ไตรมาส 4 จ่อเปิดอีก 9 โครงการ หวังดันยอดขายทะลุเป้า 21,500 ล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกปี 63 สามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 88% ของเป้ายอดขายทั้งปี 21,500 ล้านบาท หลังจากสามารถสร้างยอดขายทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการพร้อมอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายได้ถึง 7,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 2 ซึ่งมียอดขาย 6,578 ล้านบาท
“ในไตรมาส 3 บริษัทมียอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรรคิดเป็นสัดส่วน 19% และจากกลุ่มคอนโดมิเนียม 81% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มียอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ 58% และจากกลุ่มโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 42% โดยโครงการเปิดตัวใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถปิดการขายโครงการดิ ออริจิ้น อ่อนนุช 100% ใน 1ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ Origin Next Normal, The 1st Wave เปิดขายโครงการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 100% ภายใต้ชื่อ www.evenprop.com โดยไม่มีสำนักงานขาย ทำให้สามารถลดต้นทุนการพัฒนาโครงการไปได้อย่างมาก สร้างวิธีการแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงโครงการให้แก่ผู้บริโภค ด้วยราคาใหม่ที่คุ้มค่าและจับต้องได้ง่ายกว่า”
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4 มีแผนทยอยเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,050 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) 1 โครงการ มูลค่า 2,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,550 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา (Hampton Siracha) มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท กลุ่มบ้านจัดสรร ได้แก่ แบรนด์ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท แบรนด์ เบลกราเวีย (Belgravia) 1 โครงการ มูลค่า 1,600 ล้านบาทและแบรนด์ ไบรตัน (Brighton) 1 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท
“ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เราพบว่าผู้บริโภคยังคงมีความต้องการการซื้อที่อยู่อาศัย สังเกตได้จากยอดขายทั้งกลุ่ม Ready to move projects และกลุ่ม Ongoing projects ที่เรายังทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญคือ ตัวโครงการต้องมีคุณภาพ ต้องเลือกเซกเมนต์และทำเลให้ถูกต้อง สำหรับทุกโครงการที่เราวางแผนจะเปิดในช่วงไตรมาส 4 นั้น ผ่านการคัดเลือก การวิเคราะห์ และการทำงานอย่างเข้มข้น เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในสภาวะปัจจุบัน เราจึงมั่นใจที่จะเปิดตัวโครงการตามแผนงาน ซึ่งจากกลยุทธ์และแผนงานต่างๆ ประกอบกับยอดขายสะสม 9 เดือนที่ทำได้แล้วถึง 88% บริษัทยิ่งมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถปิดยอดขายได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 21,500 ล้านบาท” นายพีระพงศ์ กล่าว