พลังงานบริสุทธิ์ ผนึกพลังกับ อว.-สวทช. ลงนามความร่วมมือศึกษาการเพิ่มขีดความสามารถการทำงานของอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าความจุสูง นำวัสดุทางการเกษตร หวังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมในประเทศ รวมถึงพัฒนาวงจรจัดการระบบการทำงานของแบตเตอรี่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพให้สูงขึ้น
วันนี้ (22 ก.ย.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีลงนามความร่วมมือร่วมกับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) ในโครงการความร่วมมือวิจัยพัฒนาวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการทำงานของอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าความจุสูง หรือแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงโดยพึ่งพาทรัพยากรและการผลิตภายในประเทศ ลดการนำเข้าและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่อไป โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมลงนาม
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการทำงานของอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าความจุสูงที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง โดยพึ่งพาทรัพยากรและการผลิตภายในประเทศนี้ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NationalSecurity and Dual-Use Technology Center-NSD) หน่วยงานหลักในการดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความมั่นคงของประเทศที่สามารถประยุกต์ใช้งานทั้งในหน่วยงานด้านความมั่นคงและในภาคประชาชนทั่วไปเชิงพาณิชย์ ร่วมมือการวิจัยและพัฒนากับบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ในระยะเวลา 5 ปี (2563-2568)
พร้อมทั้งเปิดศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย เป็นศูนย์กลางในการทดสอบมาตรฐานของแบตเตอรี่และผลิตแบตเตอรี่ที่มีมาตรฐานในระดับสากล ด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านความมั่นคงทางพลังงานในการขับเคลื่อนและขยายผลของงานวิจัยไปสู่การประยุกต์การใช้งานจริง โดยการสนับสนุนในการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริม แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ บุคลากร และขยายผลการวิจัยในด้านอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าความจุสูง (แบตเตอรี่) ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง เช่น ตัวเก็บประจุยิ่งยวด (Supercapacitor) แบตเตอรี่สังกะสี ไอออนแบตเตอรี่ลิเทียม ซัลเฟอร์ การผลิตคาร์บอนกัมมันต์ (Activated Carbon) จากผลิตผลทางการเกษตร
เช่น กะลาปาล์ม การพัฒนากระบวนการผลิตและการสังเคราะห์กราฟีน ซึ่งเป็นวัสดุคาร์บอนแบบ 2 มิติที่มีคุณสมบัติช่วยทำให้แบตเตอรี่และตัวเก็บประจุมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่มีอยู่ในท้องตลาด รวมถึงวงจรจัดการระบบการทำงานของแบตเตอรี่ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูง โดยให้ความสำคัญต่อการพึ่งพาทรัพยากรและการผลิตภายในประเทศ เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศอย่างยั่งยืน
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA เปิดเผยว่า การเซ็น MOU ร่วมกับ สวทช. ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำ
เทคโนโลยีที่จะได้รับไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาคุณสมบัติของแบตเตอรี่ อันจะเป็นประโยชน์ต่อโครงการผลิตแบตเตอรี่ของบริษัทที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
จุดเด่นที่สำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งของการประสานความร่วมมือครั้งนี้ คือ การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนการใช้ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ระหว่างกันของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งต่างก็มีการลงทุนติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย และมีมาตรฐานสูงในระดับสากล นับเป็นการประสานประโยชน์เพื่อใช้ทรัพยากรที่ลงทุนไปอย่างคุ้มค่า การพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรภายใต้ความร่วมมือในโครงการนี้จะก่อให้เกิดการส่งเสริมจุดแข็งซึ่งกันและกันยิ่งขึ้นต่อไป