นายกวิศพงษ์ สิริธนนนท์สกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เคแอนด์เคซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น (KK) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงไตรมาส 4/63 เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนหลังจากเดินสายให้ข้อมูล (โรดโชว์) ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีผู้เข้ามาร่วมรับฟังและให้ความสนใจหุ้น IPO ของบริษัทอย่างมาก และในวันที่ 21 ก.ย.เตรียมจัดโรดโชว์ที่กรุงเทพฯ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
จุดเด่นของบริษัทเป็นซูเปอร์มาร์เกตท้องถิ่นรายใหญ่ในภาคใต้ที่ครอบคลุมจังหวัดสงขลา พัทลุง และสตูล โดยมีสาขาทั้งหมด 28 สาขา ขายสินค้าอุปโภคบริโภค เจาะกลุ่มลูกค้าครัวเรือนและกลุ่มแม่บ้านในชุมชน ยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ยอดขายเติบโตกว่า 100% ได้รับผลบวกจากการจำหน่ายสินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดล็อกดาวน์
ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าผลงานของบริษัทจะมีทิศทางการเติบโตที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะกำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่มภาคเกษตรเพิ่มขึ้น หลังจากราคายางพาราที่เป็นสินค้าสำคัญของภาคใต้ฟื้นตัวขึ้นมาที่ระดับ 50 บาท/กิโลกรัม จากที่เคยลงไปเหลือราว 30 บาท/กิโลกรัม ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4/63 ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก 500 บาท/คน/เดือน เพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ซึ่งซูเปอร์มาร์เกตของบริษัทรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่แล้ว ทำให้ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปด้วย
ส่วนฐานลูกค้าของบริษัทมีสมาชิกมากกว่า 30,000 คน หลังจากที่บริษัทเปิดแอปพลิเคชัน K&K Superstore เพื่อทำเป็นระบบสมาชิกเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยที่บริษัทตั้งเป้าให้แต่ละสาขาเพิ่มจำนวนสมาชิก 200 คน/เดือน/สาขา และเตรียมต่อยอดไปสู่การขายผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบการสั่งซื้อล่วงหน้าและมารับที่ร้าน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า และเพิ่มทางเลือกในการซื้อมากขึ้น
KK จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 69 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยมี บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนก่อสร้างสาขาใหม่ 3 สาขา ได้แก่ สาขาชานเมืองในจังหวัดสงขลา 2 สาขา และตั้งสาขาในจังหวัดที่ 4 คือ ตรัง อีก 1 สาขา ทั้ง 3 สาขาจะทยอยให้บริการครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 64 ทำให้บริษัทสามารถขยายสาขาเข้าไปใกล้ลูกค้าในชุมชนมากขึ้น และจะเพิ่มลูกค้าในจังหวัดใหม่ๆ ช่วยผลักดันการเติบโตของยอดขาย
นอกจากนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ IPO ส่วนหนึ่งไปชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน เพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาเหลือราว 1 เท่าเศษ จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.61 เท่า และทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง ส่งผลดีต่อความสามารถในการทำกำไร
ส่วนสาเหตุที่เสนอขายหุ้น IPO ในจำนวนที่น้อย เพราะบริษัทมีฐานทุนขนาดเล็ก และเป็นการจัดสรรหุ้น IPO ที่ไม่กระทบต่อการลดลงของสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่มากนัก โดยจะยังคงต้องการถือหุ้น KK ในระยะยาว เนื่องจากการเห็นโอกาสและศักยภาพการเติบโตของบริษัทที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"เคแอนด์เคฯ เป็นห้างภูธรที่อยู่ในตลาดค้าปลีกมานาน เราสามารถพิสูจน์ให้คนไทยได้เห็นว่าธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นยังสามารถสู้กับธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ได้ และยังมีการเติบโตขึ้นได้ต่อเนื่อง เราคาดหวังนักลงทุนให้โอกาสเราในการแสดงศักยภาพออกมามากขึ้นในการยกระดับธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นของไทย" นายกวิศพงษ์ กล่าว