“ไมโครลิสซิ่ง” หรือ MICRO เคาะราคาขายไอพีโอ 2.65 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อ 21-23 กันยายนนี้ ดีเดย์เข้าซื้อขายใน SET 1 ตุลาคม 63 โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมี บล.เอเซีย พลัส เป็นแกนนำการเสนอขายหลักทรัพย์ พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 6 แห่ง มั่นใจกำหนดราคาไอพีโอเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง คู่แข่งทางตรงน้อย และมีความสามารถในการทำกำไรเติบโตกว่า 52% ในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบกับศักยภาพการเติบโตในอนาคต ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อแตะ 5,000 ล้านบาทในปี 65 หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนระยะยาว
นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO เปิดเผยว่า MICRO ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 235 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาทต่อหุ้น กำหนดราคาไอพีโอหุ้นละ 2.65 บาท จัดสรรให้แก่บุคคลทั่วไป 58.4% นักลงทุนสถาบัน 16.6% และผู้มีอุปการคุณรวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์และพนักงาน 25.0% ทั้งนี้ กำหนดเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอในช่วงระหว่างวันที่ 21 ถึงวันที่ 23 กันยายนนี้ และคาดว่าจะดำเนินการเปิดซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ในกลุ่มธุรกิจการเงิน/เงินทุนและหลักทรัพย์ (FIN) โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า MICRO
พร้อมกันนี้ ได้แต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MICRO จำนวน 6 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จํากัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด
สำหรับการตั้งราคาไอพีโอที่ 2.65 บาทต่อหุ้น คิดเป็น P/E (Pre-Dilution) ประมาณ 14.0 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่มีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ เป็นธุรกิจที่กำลังขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีอัตรากำไรอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
"เรามั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MICRO ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ด้วยราคาไอพีโอที่เหมาะสม และการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปตั้งแต่วันโรดโชว์ในช่วงที่ผ่านมา จึงเชื่อว่า MICRO จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว" นายรัชต์ กล่าว
ด้านนายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน กล่าวว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะช่วยเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในธุรกิจของบริษัท เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ก่อนหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหลักทรัพย์และค่าใช้จ่ายต่างๆ จำนวนประมาณ 620 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ จำนวน 460 ล้านบาท ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน 150 ล้านบาท และลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 10 ล้านบาท
ขณะที่นายวินิตย์ ปิยะเมธาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MICRO ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสอง และสินเชื่อประเภทอื่นที่มีรถบรรทุกมือสองเป็นหลักประกัน เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในช่วงต่อจากนี้ MICRO พร้อมขยายการเติบโต โดยโครงการในอนาคตในปี 2563 บริษัทฯ มีแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Mobile Application สำหรับการรวบรวมข้อมูลลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานสาขาส่งข้อมูลมายังสำนักงานใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการอนุมัติสินเชื่อจากส่วนกลาง ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะใช้เงินที่ได้รับจากเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าระบบจะพัฒนาแล้วเสร็จภายในปีนี้
นอกจากนั้น บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อได้ไม่น้อยกว่า 30% ต่อปี โดยมีแผนจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 2564-2565 คาดจะมี 16 สาขา และ 20 สาขา จากปี 2563 มี 12 สาขา มุ่งเน้นในจังหวัดที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสูง หรือในพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสองจำนวนมาก โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการขยายสาขาเฉลี่ยสาขาละ 4 ล้านบาท จากเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อรองรับเป้าหมายในการขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อให้เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2565
“ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองเป็นหลัก โดยมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและการขยายลูกค้าใหม่ ผ่านการขยายเครือข่ายผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสองและการเพิ่มจำนวนสาขาให้ครอบคลุมและสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สำหรับแผนธุรกิจระยะยาว บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางการเงินแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร” นายวินิตย์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560-2562) บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้รวมเฉลี่ย (CAGR) 24.4% ต่อปี และในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 รายได้รวมอยู่ที่ 202.5 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 37.10% ด้านกำไรสุทธิในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงถึง 30.6% ต่อปี ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ และในงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.5 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 52.1% โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องต่อรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 30.8% และสิ้นปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 330.2 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 110.8 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2563 และครึ่งปีแรกของปีนี้มีการเติบโตอย่างน่าประทับใจ แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ลูกหนี้เช่าซื้อบางส่วนได้รับผลกระทบ แต่บริษัทฯ ก็มีมาตรการช่วยเหลือ รวมทั้งสามารถบริหารจัดการ ติดตามและยึดคืนหลักประกันจากลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระได้โดยเร็ว และนำหลักประกันมาจำหน่ายเพื่อนำกระแสเงินสดกลับมาใช้หมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ พร้อมกับการคุม NPL ในระดับต่ำไม่ถึง 3% สะท้อนธุรกิจรถบรรทุกเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้งแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังของทุกปีที่ผ่านมาจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลิตผลทางการเกษตรเริ่มออก และการขยายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย พร้อมกับการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเตรียมพร้อมรับโอกาสในการเติบโต