พีทีจี ตั้งเป้ายอดขายโต 10-12% พลิกวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส ลดค่าใช้จ่าย ดันกำไรทั้งปีเติบโตตามเป้า เตรียมพร้อม 5 บริษัท non-oil เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก๊าซ LPG กาแฟ ซ่อมบำรุงรถยนต์ ปาล์มคอมเพล็กซ์ และมินิมาร์ท พร้อมขยายฐานลูกค้าบัตร MAX Card แตะ 20 ล้านรายในปี 65 จากสิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านราย หวังนำฐานข้อมูลจากผู้ถือหุ้น (Big Data) มาใช้เป็นแนวทางขยายธุรกิจ non-oil อย่างต่อเนื่อง ชูจุดแข็งบัตร PT MAX Card เก็บข้อมูลบิ๊กดาต้า เพิ่มยอดบัตร 15 ล้านรายภายในปีนี้
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ว่า ยังมีโอกาสที่ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่เคยวางไว้ในช่วงต้นปีในระดับ 10-15% แม้ว่าช่วงต้นปีจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ขณะนี้ปริมาณขายน้ำมันกลับมาสู่ระดับปกติ 100% ถือว่าฟื้นตัวได้เร็วมากหลังจากรัฐบาลปลดล็อกดาวน์กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด ทำให้ขณะนี้บริษัทคาดว่ายอดขายทั้งปีจะเติบโตได้ราว 8-12% ขณะที่บริษัทยังได้รับผลดีจากการปรับตัวรับสถานการณ์โควิด-19 ที่เน้นการลดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการลดการสำรองน้ำมัน จะยังคงทำให้ภาพรวมกำไรดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันในช่วงที่เหลือของปีนี้จะทรงตัวในระดับเฉลี่ย 1.90 บาท/ลิตรเช่นเดียวกับในช่วงที่ผ่านมาด้วย
“ยอดขายครึ่งปีหลังส่วนใหญ่จะดีกว่าครึ่งปีแรก ยอดขายวันนี้ดูแนวโน้มวันต่อวัน ปกติเดือน ก.ย.ในหน้าฝนจะไม่ค่อยดี แต่ปีนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ไม่ได้ตกลงไปเยอะ และไตรมาส 4 น่าจะโตกว่าเดิม ในมุมยอดขายครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก กำไรน่าจะดีขึ้นด้วย เพราะค่าการตลาดประมาณลิตรละ 1.90 บาท หรืออยู่ในช่วง 1.80-2.00 บาท จนถึงปลายปีน่าจะยังทรงตัวที่ 1.90 บาท โควิด-19 เรากระทบน้อย และฟื้นตัวได้เร็ว เดือน เม.ย.ลงไป แต่ พ.ค.ฟื้นขึ้นมา ตอนนี้กลับมาเรียกได้ว่า 100% แล้ว และโควิด-19 ทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้มาก เวลาเราขอความร่วมมือในองค์กรให้ทุกคนประหยัด ก็ได้รับการสนับสนุน ไม่อิดออด ทำให้ลดค่าใช้จ่าย ไม่ใช่ทำได้ 100 นะ แต่ได้เกิน 100% เมื่อยอดขายปกติ แต่ค่าใช้จ่ายลดลงไปมาก ครึ่งปีหลังน่าจะส่งผลดีต่อกำไร”
สำหรับแผนงานระยะต่อไป พีทีจีเตรียมผลักดันบริษัทย่อยภายใต้ธุรกิจ non-oil ทั้ง 5 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจก๊าซ LPG ธุรกิจกาแฟ ธุรกิจให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ และธุรกิจร้านมินิมาร์ท โดยธุรกิจก๊าซแอลพีจี ภายใต้บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ที่พีทีจีถือหุ้นราว 99% คาดว่าจะเข้าตลาดหุ้นได้เป็นบริษัทแรกในช่วงต้นปี 65 หลังจากธุรกิจเริ่มเข้าสู่ช่วงสร้างกำไร ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว เพื่อเตรียมแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเตรียมจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล
บริษัทมีเป้าหมายจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ธุรกิจก๊าซแอลพีจีที่ใช้กับยานยนต์ในปี 64 จากปีนี้อยู่ในอันดับ 6 ด้วยการขยายสถานีบริการให้ได้ปีละ 50 แห่ง ทั้งในรูปแบบที่บริหารงานเอง และแฟรนไชส์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 200 แห่ง และจะขยายตลาดก๊าซแอลพีจีบรรจุถังเพื่อใช้ในครัวเรือนที่มองว่าความต้องการใช้ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เข้าไปขยายตลาดในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดขายอาหารปรุงสำเร็จไปแล้ว โดยภาพรวมของธุรกิจก๊าซแอลพีจี ทำกำไรขั้นต้นได้ดีกว่าธุรกิจน้ำมันถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ ยังเตรียมนำธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ กำลังการผลิต 5.1 แสนตัน ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 40% เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 64 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างคัดเลือกเอฟเอ โดยเป็นธุรกิจที่มีการผลิตครบวงจรตั้งแต่โรงสกัดน้ำมันปาล์ม (CPO) ไปถึงการผลิตไบโอดีเซล B100 และยังมีผลผลิตอื่นๆ ที่เป็นผลพลอยได้ เช่น กลีเซอรีนบริสุทธิ์ เป็นต้น ขายให้แก่ทั้งพีทีจี และบริษัทอื่นๆ นอกกลุ่ม ซึ่งปีนี้คาดว่าจะทำรายได้ราว 600 ล้านบาท
ในปี 67 ธุรกิจที่เตรียมจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ คือ ธุรกิจกาแฟ ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 329 สาขา แบ่งเป็นพันธุ์ไทย 260 สาขา และคอฟฟี่เวิลด์ 69 สาขา หลังจากที่บริษัทได้เริ่มดำเนินงานมาเป็นเวลา 7-8 ปี ขณะนี้ได้เห็น EBITDA ฟื้นจากติดลบมาเป็นศูนย์แล้วในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่าที่คาดว่าจะเป็นศูนย์ในช่วงปลายปีนี้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบในช่วงโควิด-19 ทำให้ยอดขายหดตัวลงไป แต่ตั้งแต่ในเดือน พ.ค.เป็นต้นมาเริ่มฟื้นตัว จนถึงเดือน ส.ค.เติบโตได้ถึง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือน ก.ย.เติบโตได้ถึง 27% ดังนั้น ปีหน้าธุรกิจกาแฟจะเข้าสู่ช่วงเริ่มนับหนึ่งในการทำกำไร
พร้อมกันนั้น ศูนย์บริการรถยนต์ออโต้แบคส์ และศูนย์บริการซ่อมบำรุงรักษารถบรรทุกจะทยอยถึงจุดคุ้มทุนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงธุรกิจร้านมินิมาร์ท MAX Mart ก็มีลุ้นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 67 โดยเฉพาะร้าน MAX Mart ขณะนี้สาขายังอยู่เฉพาะภายในศูนย์บริการน้ำมันและก๊าซแอลพีจี แต่ในอนาคตยังมีช่องทางขยายไปตั้งเป็นสาขา Stand-alone ได้
นายพิทักษ์ กล่าวว่า อาวุธสำคัญในมือของ PTG ในการขยายธุรกิจ non-oil คือบัตร PT MAX Card ขณะนี้มียอดผู้ถือบัตรแล้ว 14 ล้านราย และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านรายในสิ้นปีนี้ จากนั้นจะผลักดันให้ขยายไปสู่เป้าหมาย 20 ล้านรายในปี 65 ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เป็นลูกค้าทุกระดับชั้นนำ ทำให้บริษัทรับทราบพฤติกรรมของลูกค้าในการใช้ทุกบริการ จึงจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถขยายบริการด้าน non-oil ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะขยายสัดส่วนรายได้ของ non-oil ให้เป็น 60% ภายในปี 66 จากที่อยู่ในระดับไม่ถึง 1% ในปีนี้ เพราะแนวโน้มของรายได้จากการขายน้ำมันโดยเฉลี่ยต่อปั๊มน้ำมันแต่ละแห่งของทุกแบรนด์ลดลง ขณะที่ทุกแบรนด์ก็แข่งขันกันขยายจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเกิดของปั๊มน้ำมันใหม่สวนทางกับการบริโภคในประเทศที่กำลังติดลบ ขณะที่ใช้เงินลงทุนสูงขึ้นและแข่งกันสร้างปั๊มขนาดใหญ่ขึ้น