3 หุ้นน้องใหม่เดินหน้าเข้าตลาดฯ เวลเกรด เอ็นจิเนียริ่ง (WGE) ประกาศขายหุ้นไอพีโอ 160 ล้านหุ้น คาดเคาะราคาภายในเดือนนี้ และเข้าเทรด SET ในเดือน ต.ค.63 ระดมเงินลุยประมูลงานใหม่ ด้านเอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ (NRF) เตรียมขายไอพีโอ 340 ล้านหุ้น เข้าเทรด SET ในปีนี้เช่นกัน ส่วนศิรกร (SK) ลุยขายไอพีโอ 115.35 ล้านหุ้น เข้าเทรด mai ระดมเงินขยายธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
WGE ขายไอพีโอ ก.ย. จ่อเทรด ต.ค.นี้ ระดมทุนประมูลงาน
นายสัมฤทธิ์ชัย ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัทคันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ของบริษัทเวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ WGE เปิดเผยว่า WGE จะกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอในเดือน ก.ย.นี้ และคาดจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือน ต.ค.นี้
โดย WGE มีแผนจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 160 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.67% ของหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด สำหรับวัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต และรองรับแผนการเข้ารับงานใหม่ในอนาคต โดยบริษัทจะขยายคลังสินค้า ซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์สำหรับใช้ในงานก่อสร้าง และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
WGE ดำเนินธุรกิจให้บริการรับเหมาก่อสร้างอาคาร และสิ่งปลูกสร้าง ที่มีแหล่งที่มาของรายได้ทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น คอนโดมิเนียมแนวสูง และแนวราบ โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ซึ่งครอบคลุมถึงงานวิศวกรรมโยธา งานระบบ วิศวกรรมประกอบอาคาร และงานภูมิสถาปัตย์ รวมถึงงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคตามที่ลูกค้ากำหนด ซึ่งกลุ่มลูกค้ากระจายทั่วประเทศ
นายเกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม ประธานกรรมการบริหาร WGE กล่าวว่า การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีความสามารถในการเข้าร่วมประมูลงานโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น จากเดิมที่เข้ารับงานได้สูงสุด 800 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่เพิ่มทุนในครั้งนี้จะทำให้มีโอกาสรับงานมากกว่า 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่างานในมือ จำนวน 1,575 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ประมาณ 60-65% ขณะเดียวกัน บริษัทมีความพร้อมที่จะเข้ารับงานเพิ่มเติมอีกในอนาคตหลังจากที่งานโครงการภาครัฐยังมีอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงจะเข้ารับงานจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ประเภทโรงงาน หลังจากที่กลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีอัตรากำไรในระดับสูง โดยบริษัทมีนโยบายจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยไว้ที่ 10-15%
NRF เข้าเทรด SET ปีนี้ ขยายธุรกิจ-ชำระหนี้
น.ส.วีณา เลิศนิมิตร กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) การเสนอขายหุ้นไอพีโอของ NRF แล้ว และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปีนี้
NRF มีทุนจดทะเบียน 1,421.04 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 1,421.04 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 1,065.78 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1,065.78 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 340 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยแบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น และเสนอขายหุ้นสามัญโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ บริษัท ดีพีเอ ฟันด์ เอส จำกัด จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น
น.ส.เพ็ญอุไร ไชยชัชวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน NRF กล่าวว่า หลังจากเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไป บริษัทมีแผนจะนำเงินส่วนหนึ่งไปชำระเงินกู้ยืมระยะยาวทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 900 ล้านบาท สามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ปีละ 60 ล้านบาท รวมถึงลด D/E ลงต่ำกว่า 1 เท่า จากสิ้น มิ.ย.63 อยู่ที่ 1.3 เท่า
ด้านนายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวว่า แผนดำเนินงานระยะสั้นและระยะกลาง ได้แก่ 1.) ลงทุนซื้อโรงงานผลิตอาหารเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น 2.) ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ V-Shape ทั้งในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและไม่ใช่อาหาร 3.) เพิ่มกำลังการผลิตเส้นบุก รองรับความต้องการของตลาดอาหารสุขภาพที่เติบโต 4.) เร่งกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการผลิตอาหารโปรตีนจากพืชผ่านการร่วมทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED (เบรคส์) โดยร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ รับจ้างผลิตอาหารโปรตีนจากพืชให้แก่บริษัทอาหารชั้นนำของโลก
หวังเพิ่มยอดขาย 3 พันล้านบาท ใน 5 ปี
บริษัทมีเป้าหมายระยะยาวเพิ่มยอดขายให้ได้ 3,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า (ปี 67) ภายใต้กลยุทธ์การเจาะตลาดอาหารกลุ่ม Specialty Food ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกและมีอัตราการเติบโตสูง
นอกจากนี้ ยังเข้าร่วมลงทุนใน Big Idea Venture และกองทุนนิวโปรตีนขนาดกองทุน 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนแบบ Accelerator ที่ให้เงินทุนสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัปเกี่ยวกับอาหารโปรตีนจากพืชพร้อมทั้งคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีเป้าหมายการลงทุนประมาณ 100 สตาร์ทอัป ภายใน 3 ปี โดยปัจจุบันลงทุนแล้วประมาณ 27 สตาร์ทอัป
SK ขายไอพีโอ เทรด mai เร็วๆ นี้
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการสายงานวาณิชธนกิจ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท บริษัท ศิรกร จำกัด (มหาชน) หรือ SK กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งของ SK เรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 115.35 ล้านหุ้น และเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ได้ในเร็วๆ นี้
SK มีทุนจดทะเบียนจำนวน 230 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญที่เสนอขาย จำนวน 115.35 ล้านหุ้น และมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 172.33 ล้านบาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทฯ จะมีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 230 ล้านบาท
โดยผลดำเนินงานไตรมาส 2/63 บริษัทฯ มีรายได้รวม 274.58 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.29 ล้านบาท และบริษัทยังมีงานรับเหมาก่อสร้างที่รอการส่งมอบอีกกว่า 10 โครงการ คิดเป็นมูลค่างานในมือ (Back log) อีกกว่า 157.22 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้เกือบทั้งหมดภายในปีนี้
ระดมเงินขยายธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
นายอาณัติ ปิ่นรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ SK กล่าวว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี ในการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง และให้บริการรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้าและงานรับเหมาก่อสร้างโยธา โดยมีโรงงานผลิตและจัดจำหน่ายคอนกรีตอัดแรง 6 แห่ง เช่น จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดชลบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดลำปาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตและจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
ส่วนธุรกิจให้บริการรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้านั้น บริษัทฯ สามารถเข้าร่วมประมูลงานสายส่ง สูงสุดขนาด 115 KV ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
วัตถุประสงค์การเข้ามาระดมทุน เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยมีแผนจะเข้าประมูลงานรับเหมาก่อสร้างสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้าและงานรับเหมาก่อสร้างโยธาทั้งในส่วนของภาครัฐ และเอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากโครงการ Consortium งานสายส่งไฟฟ้าขนาด 230 KV ปัจจุบันเสร็จสิ้น บริษัทฯ จะสามารถรับงานโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าขนาด 230 KV ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะลงทุนเครื่องจักร อุปกรณ์ และรถขนส่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับโอกาสในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต และยังมองหาโอกาสในการขยายช่องทางการลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพและต่อยอดความแข็งแกร่งทางธุรกิจในอนาคต