พลังงานบริสุทธิ์ หนุนบริษัทย่อย “อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย)” จดปากกาเซ็น MOU กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาการทำเครื่องต้นแบบระบบคายประจุไฟฟ้าและเครื่องแยกชิ้นส่วนเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียม ไอออน มุ่งรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว เพื่อต่อยอดกับแผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม รองรับแผนสยายปีกรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า เชื่อมระบบขนส่งด้วยพลังงานไฟฟ้าครบวงจร และต่อเนื่อง
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2563 ที่ผ่านมา EA และบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (หรือ “ATT”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินโครงการโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในประเทศไทย ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาโครงการที่จะนำไปสู่การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับต่อยอดการลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของกลุ่ม EA อย่างครบวงจรตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการเป็นผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่เพื่อใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมไฟฟ้า ไปจนถึงการนำแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่สิ้นอายุการใช้งานแล้วกลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เป็นฐานการลงทุนอุตสาหกรรมกักเก็บพลังงานในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้
ในการดำเนินโครงการความร่วมมือนี้ ATT และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะร่วมกันศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน อีก
ทั้ง ATT จะสนับสนุนบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรในโครงการจัดทำเครื่องต้นแบบระบบคายประจุไฟฟ้าและเครื่องแยกชิ้นส่วนเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน และการศึกษากระบวนการนำโลหะมีค่าจากแบตเตอรี่กลับมาใช้งานใหม่ สำหรับเตรียมความพร้อมสู่การพัฒนาโรงงานนำร่องรีไซเคิลแบตเตอรี่ครบวงจร ซึ่ง ATT จะนำผลการศึกษาจากโครงการไปประยุกต์ใช้ภายในระยะเวลา 3 ปี หลังจากจบการดำเนินงานโครงการ
“การจะทำให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าของคนไทยสามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากประเทศต่างๆ ได้ จำเป็นต้องมีทั้งเทคโนโลยีที่ดีเป็นตัวนำ เงินทุน และการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ในด้านของบริษัท เราแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ และนำเงินทุนมาลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้แก่กิจการในระยะยาว และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาอันดับ 1 ของประเทศเข้าร่วมพัฒนาภายใต้ความร่วมมือใน MOU นี้ อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมแบตเตอรี่นี้ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและยังใช้เวลานานกว่าจะพัฒนาจนเข้าสู่ระยะที่จะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งในระหว่างที่เราพัฒนาอยู่นั้น คู่แข่งจากต่างประเทศที่มีความสามารถและศักยภาพสูงก็มีการพัฒนาเช่นกันซึ่งพร้อมที่จะเข้ามาแข่งขันทั้งในประเทศไทย และในตลาดต่างประเทศ จนเป็นอุปสรรคต่อภาพรวมของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยได้ หากภาครัฐร่วมสนับสนุนให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตและแข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหรือยกเว้นอัตราภาษีในรูปแบบต่างๆ ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนให้ไทยกลับมาเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญในภูมิภาคนี้ และฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้ในไม่ช้า” นายสมโภชน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ATT เป็นผู้ลงทุนในโครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขนาดกำลังการผลิต 50 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานสำหรับระยะที่ 1 ที่มีขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มทดลองการผลิตสำหรับระยะที่ 1 ได้ภายในปี 2563 หลังจากนั้น จึงจะทยอยเริ่มทำการผลิตจริง เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายของบริษัทฯ ต่อไป การร่วมศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีในการนำแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้งานแล้วกลับมารีไซเคิลนี้ จะสอดรับต่อแผนการบุกตลาดแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนของกลุ่ม EA ในอนาคต ซึ่งจะมีทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า เรือไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระบบขนส่งด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ครบวงจร ช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง อีกทั้งลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทและร่วมฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศต่อไป