LPN Wisdom เผย 36 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายได้ในไตรมาส 2 สวนกระแสโควิด-19 พุ่ง 72,822.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.39% ลดราคาหวังจูงใจคนซื้อและโอนคอนโดฯ และบ้าน จับตาสต๊อกคงค้างครึ่งปีกว่า 6 แสนล้านบาท รัดคอเอกชน หวังเศรษฐกิจฟื้นตัว หนุนอัตราระบายออกเร็วขึ้น ชี้ตลาดแนวราบมาแรงแซงโค้งคอนโดฯ "เอพี-เอสซี" โชว์ผลงานดี เจาะเรียลดีมานด์ต่อเนื่อง
บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด หรือ LPN Wisdom ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ถึงภาพรวมผลประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2563 ว่า บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 36 บริษัท (ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70%) ได้รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 มีรายได้รวม 72,822.65 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.39% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ขณะที่กำไรสุทธิใน 36 บริษัท อยู่ที่ 4,191.53 ล้านบาท ลดลงสูงถึง 54.34%
อย่างไรก็ตาม หากแยก 15 อันดับแรกของบริษัทอสังหาฯ จะพบว่า มีรายได้รวมกันสูงถึง 61,724.77 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งรายได้สูงถึง 84.76% ของรายได้รวมทั้ง 36 บริษัทอสังหาฯ
สำหรับรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 (ม.ค.-มิ.ย.) ทั้ง 36 บริษัท มีรายได้รวม 143,202.37 ล้านบาท ลดลง 19.27% เทียบกับระยะเดียวกันของปี 62 กำไรสุทธิอยู่ที่ 10,714.80 ล้านบาท ลดลง 55.11% ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 7.48% โดย 15 บริษัทแรกมีรายได้รวม 119,687.52 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 83.58% ของรายได้รวม
ทั้งนี้ จะพบว่าสินค้าคงเหลือรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและโครงการที่สร้างแล้วเสร็จของทั้ง 36 บริษัทในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 601,441.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (yoy) แต่ลดลงมา 3.38% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 63 เนื่องจากช่วงในไตรมาส 2 ผู้ประกอบการทุกค่ายต่างโหมจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างหนัก ลดราคา แจก แถม เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเร่งตัดสินใจซื้อโครงการที่อยู่อาศัย มีการใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ถ่ายทำและจำลองห้องเสมือนจริง ให้ลูกค้าเลือกดูห้องในตำแหน่งต่างๆ ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการระบายสต๊อกมูลค่ากว่า 601,441.55 ล้านบาท ต้องอิงปัจจัยเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยหาก จีพีดีขยายตัวได้ระดับ 3-4% อัตราดูดซับต่อปีน่าจะอยู่ประมาณ 230,000-250,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการระบายออก 2 ปีครึ่ง แต่หากจีพีดีเติบโตต่ำลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการดูดซับจะช้าลงออกไปอีก
โดย LPN Wisdom ได้สรุปภาพจากผลประกอบการว่า ตลาดแนวราบมาแรง โดยบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีรายได้และกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากความต้องการซื้อสินค้าแนวราบ มีการเติบโตในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับความต้องการซื้อคอนโดฯ ที่ลดลง ทำให้ผลการดำเนินงานในด้านยอดขายและรายได้ของทั้ง 2 บริษัท มีสัดส่วนของแนวราบมากกว่า 50% ประกอบกับแคมเปญด้านการตลาด ทำให้รายได้และกำไรสุทธิเติบโตสวนทางตลาด
ขณะที่บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีรายได้เกือบแตะ 18,000 ล้านบาท เฉพาะยอดขายไตรมาส 2 ที่ทำสถิติสูงสุดถึง 11,305.51 ล้านบาท เป็นผลจากการเปิดตัวแคมเปญ "อยู่ฟรี 24 เดือน" ทำให้ยอดขายและยอดโอนพุ่งสูงในไตรมาส 2 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการตลาดและต้นทุนในการบริหารที่สูง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ต่ำอยู่ระดับ 1.72% (195.46 ล้านบาท) เช่นเดียวกับหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 2.12 : 1 เท่า
"ทั้งเอพี และเอสซี ที่ผ่านมา จับกลุ่มตลาดแนวราบระดับราคากลางถึงบน ทำให้สะท้อนผลงานออกมาในด้านรายได้ที่สูงขึ้น ยิ่ง เอพี ถือว่า เป็นดีเวลลอปเปอร์เรียลดีมานด์ในกลุ่มตลาดแนวราบอย่างชัดเจน" LPN Wisdom ระบุ