MINT เผยผลประกอบการ Q2/63 พลิกขาดทุน 8,447 ลบ. กำไรวูบ 572.95% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุได้รับผลกระทบโควิด-19 และปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ ขณะที่งวด 6 เดือน ขาดทุนสุทธิ 10,221 ล้านบาท ลดลง 531% ด้านผู้บริหารเชื่อผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว มั่นใจหากสถานการณ์ของโลกดีขึ้น จะกลับมาสร้างการเติบโตของธุรกิจ และผลตอบแทนเชิงบวกให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อีก
วานนี้ (13 ส.ค.) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/63 พลิกเป็นขาดทุน 8,447.63 ล้านบาท ลดลง 572.95% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,786.01 ล้านบาท
บริษัทฯ ชี้แจงผ่านเอกสารเผยแพร่ ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 ลดลงเป็นผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากการระบาดของโรค COVID-19 แต่ MINT เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นที่จะนำธุรกิจกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 โดยเร็วที่สุด
การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 ปี 63 เมื่อหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยได้มีการออกมาตรการการปิดประเทศอย่างเข้มงวด โดย MINT มีผลขาดทุนสุทธิ 8.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 63 เทียบกับกำไรสุทธิ จำนวน 1.8 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 62
โควิด-19 กระทบทั้งธุรกิจโรงแรม-อาหาร พ่วงผลกระทบจาก บช.ใหม่
บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 6.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 2/63 เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่เป็นบวก 2.1 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 62 โดยการลดลงดังกล่าวเป็นผลโดยตรงมาจากการดำเนินธุรกิจอย่างจำกัดของทั้ง 3 ธุรกิจของ MINT (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเมษายนและพฤษภาคม) เนื่องจากต้องปิดโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ทั่วโลกเป็นการชั่วคราว ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหารลดลงร้อยละ 99 และปรับตัวดีขึ้นเป็นลดลงร้อยละ 89 ในเดือนมิถุนายน เนื่องจากโรงแรมเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเพื่อที่จะปรับตัวกับการปิดให้บริการธุรกิจเหล่านี้
ทั้งนี้ MINT ได้ดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็วและเข้มงวด ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 50% ในไตรมาส 2/63 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/62 ส่งผลให้ MINT มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในแต่ละเดือน จากผลขาดทุนจากการดำเนินงาน ซึ่งนับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 2.8 พันล้านบาทในเดือนเมษายน เป็น 2.4 พันล้านบาทในเดือนพฤษภาคม และ 2.0 พันล้านบาทในเดือนมิถุนายน
ส่วนงวด 6 เดือน ปี 63 ขาดทุนสุทธิ 10,221 ล้านบาท ลดลง 531% เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,369.14 ล้านบาท
สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 63 MINT มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานก่อนผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 9.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 2.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 62
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/63 MINT มุ่งมั่นที่จะเร่งการกลับมาเปิดให้บริการธุรกิจในเครืออีกครั้งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ปรับตัวดีขึ้นและประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศลง
แผนกลยุทธ์ของ MINT และการดำเนินการบริหารจัดการสภาพคล่องและฐานะทางการเงินในเวลาที่เหมาะสม เป็นบทพิสูจน์ของแผนการที่มีประสิทธิภาพของ MINT ในไตรมาส 2 ปี 63 MINT ยังคงให้ความสำคัญต่อการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่อง ด้วยการดำเนินมาตรการการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม MINT มีเงินสดในมือประมาณ 36 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 26 พันล้านบาท ซึ่งรวมกันแล้วจะเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน จำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/63 ช่วยให้ฐานส่วนของผู้ถือหุ้นของ MINT แข็งแกร่งขึ้นถึงแม้ว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานในช่วงไตรมาสดังกล่าว ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 1.61 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1/63 เป็น 1.64 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/63
อีกทั้งเมื่อช่วงต้นไตรมาส 3/ 63 บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้สิทธิในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกจำนวน 5 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น MINT จึงคาดว่าแผนการระดมทุนแบบเบ็ดเสร็จดังกล่าวจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากสภาวะตลาดที่ท้าทายต่อไปในอนาคต
ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เมื่อหลายประเทศเริ่มเปิดพรมแดน ด้วยมาตรการการปิดประเทศที่ผ่อนคลายลง และเริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ MINT จึงได้กลับมาดำเนินธุรกิจทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่าร้อยละ 70 ของโรงแรมทั้งหมดทั่วโลก และมากกว่าร้อยละ 90 ของร้านอาหารทั้งหมดได้กลับมาเปิดให้บริการ และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละสัปดาห์
ตั้งเป้าไตรมาส 4 กลับมาเปิดโรงแรม ร้านอาหารได้หมด
ทั้งนี้ MINT มีเป้าหมายที่จะกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมและร้านอาหารทั้งหมดภายในไตรมาส 4 ปี 63 และจะผลักดันยอดขายเชิงรุก ในขณะที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์เฉพาะหน้าของไมเนอร์ โฮเทลส์ คือ การมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวภายในประเทศที่แข็งแกร่งในช่วงที่มีการปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ตามด้วยการเพิ่มจำนวนแขกเข้าพักจากนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเมื่อประเทศต่างๆ เริ่มเปิดประเทศ และขยายตัวไปยังนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ปรับตัวดีขึ้น
ในขณะที่ไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลและแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารเพื่อผลักดันยอดขาย โดยต่อยอดจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของยอดขายผ่านทางแพลตฟอร์มดังกล่าวในช่วงการปิดประเทศจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในขณะที่ยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารภายในร้านอาหารของลูกค้าและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเปิดตัว “Cloud Kitchens” ในช่วงไตรมาสดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญของไมเนอร์ ฟู้ดในการขยายพื้นที่การให้บริการของแบรนด์ต่างๆ ของบริษัท
ผู้บริหารเชื่อผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดมาแล้ว
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า เรามีความผิดหวังกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้ แต่บริษัทได้มีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของเรา โดยบริษัทมีการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในช่วงเวลาอันท้าทายนี้
ในขณะเดียวกัน บริษัทได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ฐานะทางการเงินและรักษากระแสเงินสด โดยบริษัทเชื่อว่าเราได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว และเมื่อสถาการณ์ของโลกดีขึ้น MINT มีความมุ่งมั่นที่จะกลับมาสร้างการเติบโตของธุรกิจ และกลับมาสร้างผลตอบแทนเชิงบวกให้แก่ผู้ถือหุ้นอีกครั้ง