"ลลิลฯ" เผยไตรมาส 2 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 1,304.4 ล้านบาท เติบโต 50% เผยยังบันทึกรายการกำไรพิเศษที่เกิดจากการถูกเวนคืนโครงการบ้านเดี่ยวใน ซ.แก้วอินทร์ อ.บางใหญ่ ได้รับเงินชดเชยมาเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 395.8 ล้านบาท ขยายตัว 164%
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2563 นี้ เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเศรษฐกิจไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า จีพีดีของไทยในปีนี้จะหดตัวไม่ต่ำกว่า 7-8% โดยเหลือเพียงเครื่องยนต์เดียว คือการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่จะเป็นตัวช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ในขณะที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ การส่งออก การบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน ล้วนได้รับผลกระทบและหดตัวลงอย่างมาก ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมมีการหดตัวลงเช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจหลัก โดยเริ่มเห็นหลายบริษัทได้รับผลกระทบ และประสบกับภาวะขาดทุน
ในแง่ของบริษัทซึ่งเน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง และมีการบริหารงานที่มีการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ให้สอดรับต่อสถานการณ์ ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 2,562 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% ในขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.2% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 38.9% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับลดลงจาก 11.4% มาอยู่ที่ 10.1%
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีการบันทึกกำไรพิเศษที่เกิดจากถูกเวนคืนในโครงการหนึ่งของบริษัท ส่งผลให้ในครึ่งแรกของปี 2563 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 643 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 60%
สำหรับการขยายธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 5 โครงการ มูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท และบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ในช่วงเดือนนี้ต่อเดือนหน้า ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังคงคุมความเสี่ยงทางการเงิน และรักษาระดับ D/E Ratio ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาสนี้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่เพียงแค่ 0.77 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.5 เท่า