รัฐบาลสหราชอาณาจักร และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ซึ่งจะสร้างความร่วมมือด้านบริการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง และ “การเติบโตสีเขียว” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนายั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals - SDGs)
รัฐบาลสหราชอาณาจักร และธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมมือกันภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยกระดับมาตรฐานการบัญชี เสริมสร้างความโปร่งใสและการกำกับดูแลกิจการ สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทค (FinTech) เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงิน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมฟินเทคในประเทศ ไทย ส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน และสนับสนุนระบบการเงินให้มีศักยภาพในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
ความร่วมมือนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ ASEAN Economic Reform และ ASEAN Low Carbon Energy Programmes ภายใต้กองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity Fund) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับแนวโน้มการเงินใหม่ๆ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้งสินค้าและบริการ ทางการเงิน โดยมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาภาคการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างทั่วถึง ที่คำนึงถึงผลกระทบของนโยบายที่จะมีต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคำนึงถึงกลุ่มคนในทุกภาคส่วนของสังคม
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หน่วยงานกำกับภาคการเงินควรให้ความสาคัญต่อวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรม เนื่องจากเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทคช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง สะดวก และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทางการเงินได้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจรวมถึงคุณภาพของสินเชื่อ ดังนั้น สถาบันการเงินควรดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยผลข้างเคียงต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือภายใต้ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาการเงิน ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงช่วยให้ผู้ให้บริการทางการเงินนำแนวคิดเกี่ยวกับกรอบการกำกับดูแลที่สนับสนุนนวัตกรรมอย่าง
ยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรและการดำเนินธุรกิจ
เอกอัครราชทูตอังกฤษประจาประเทศไทย ไบรอัน เดวิดสัน กล่าวว่า “บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่เราพยายามรับมือและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 บริการทางการเงินต่างๆ สามารถช่วยกระตุ้น และสร้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และส่งเสริมให้สังคมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยอาศัยการปรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังต้องให้ความสนใจกับฟินเทค ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินชีวิตของหลายคนในช่วงวิกฤตโรคระบาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ่ายเงินจากภาครัฐให้ประชาชน ไปจนถึงการสั่งซื้อของออนไลน์ ดังนั้น ผมจึงยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้กับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกระชับความร่วมมือผ่านกองทุนพรอสเพอริตี้ดังกล่าว
โครงการ ASEAN Low Carbon Energy Programme ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากงบประมาณความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในต่างประเทศ (Overseas Development Assistance) ภายในกองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity Fund) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนประเทศในอาเซียนให้ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ตามมา
โครงการ ASEAN Economics Reform Programme ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากงบประมาณความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในต่างประเทศ (Overseas Development Assistance) ภายในกองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity Fund) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและทั่วถึงในประเทศสมาชิกอาเซียน โครงการนี้มุ่งเน้น 1) เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจผ่านการบังคับใช้กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา การปฏิรูปกฎหมาย และการปรับปรุงนโยบายการแข่งขัน 2) พัฒนาความโปร่งใส และ 3) เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคการเงินผ่านการพัฒนาตลาดการเงิน ขีดความสามารถด้านฟินเทค และมาตรฐานบัญชี ระยะเวลาดาเนินโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ.2562-2565
รัฐบาลสหราชอาณาจักร และธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมมือกันภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยกระดับมาตรฐานการบัญชี เสริมสร้างความโปร่งใสและการกำกับดูแลกิจการ สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทค (FinTech) เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงิน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่อุตสาหกรรมฟินเทคในประเทศ ไทย ส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน และสนับสนุนระบบการเงินให้มีศักยภาพในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
ความร่วมมือนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ ASEAN Economic Reform และ ASEAN Low Carbon Energy Programmes ภายใต้กองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity Fund) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับแนวโน้มการเงินใหม่ๆ วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ รวมทั้งสินค้าและบริการ ทางการเงิน โดยมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาภาคการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างทั่วถึง ที่คำนึงถึงผลกระทบของนโยบายที่จะมีต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคำนึงถึงกลุ่มคนในทุกภาคส่วนของสังคม
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หน่วยงานกำกับภาคการเงินควรให้ความสาคัญต่อวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรม เนื่องจากเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทคช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึง สะดวก และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการทางการเงินได้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจรวมถึงคุณภาพของสินเชื่อ ดังนั้น สถาบันการเงินควรดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยผลข้างเคียงต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือภายใต้ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาการเงิน ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน รวมถึงช่วยให้ผู้ให้บริการทางการเงินนำแนวคิดเกี่ยวกับกรอบการกำกับดูแลที่สนับสนุนนวัตกรรมอย่าง
ยั่งยืน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรและการดำเนินธุรกิจ
เอกอัครราชทูตอังกฤษประจาประเทศไทย ไบรอัน เดวิดสัน กล่าวว่า “บันทึกความเข้าใจฉบับนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่เราพยายามรับมือและฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 บริการทางการเงินต่างๆ สามารถช่วยกระตุ้น และสร้างงาน สนับสนุนภาคธุรกิจ และส่งเสริมให้สังคมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยอาศัยการปรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังต้องให้ความสนใจกับฟินเทค ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินชีวิตของหลายคนในช่วงวิกฤตโรคระบาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ่ายเงินจากภาครัฐให้ประชาชน ไปจนถึงการสั่งซื้อของออนไลน์ ดังนั้น ผมจึงยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้กับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกระชับความร่วมมือผ่านกองทุนพรอสเพอริตี้ดังกล่าว
โครงการ ASEAN Low Carbon Energy Programme ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากงบประมาณความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในต่างประเทศ (Overseas Development Assistance) ภายในกองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity Fund) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนประเทศในอาเซียนให้ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ตามมา
โครงการ ASEAN Economics Reform Programme ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากงบประมาณความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในต่างประเทศ (Overseas Development Assistance) ภายในกองทุนพรอสเพอริตี้ (Prosperity Fund) ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและทั่วถึงในประเทศสมาชิกอาเซียน โครงการนี้มุ่งเน้น 1) เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจผ่านการบังคับใช้กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา การปฏิรูปกฎหมาย และการปรับปรุงนโยบายการแข่งขัน 2) พัฒนาความโปร่งใส และ 3) เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคการเงินผ่านการพัฒนาตลาดการเงิน ขีดความสามารถด้านฟินเทค และมาตรฐานบัญชี ระยะเวลาดาเนินโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ.2562-2565