“บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)” หรือ SMT เผยผลประกอบการไตรมาส Q2/2563 โตทะลักกว่า 378% อยู่ที่ 37.07 ล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 492.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากทุกธุรกิจฟื้นตัว เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง และการปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้ารายใหม่เสริมพอร์ต แย้มทิศทางครึ่งปีหลังสัญญาณดี ออเดอร์จากลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ารายใหม่ที่ได้เพิ่มเข้ามาล้นยาวไปจนถึงต้นปี 2564 ขณะที่ได้อานิสงส์ดีมานด์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์กลุ่ม 5G และ IoT รวมทั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมและการแพทย์ วางเป้ารายได้ปีนี้โต 13% ตามแผน
นายพร้อมพงศ์ ไชยกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ 37.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 378% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.76 ล้านบาท มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ 492.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.70% โดยรายได้จากทุกหน่วยธุรกิจฟื้นตัวจากต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะรายได้สินค้าประเภท Optics ที่มาร์จิ้นสูง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบด้านยอดขายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่ำ เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น และภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
นอกจากนั้น นายวิรัตน์ ผูกไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้กล่าวว่า ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยกำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 2 มีจำนวน 110.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38.32% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลจากยอดขาย Product mix ในผลิตภัณฑ์ซึ่งให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนการดำเนินงานลดลง จากการบริหารต้นทุนภายในให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับยอดการผลิต ส่งผลให้ยอดค่าใช้จ่ายรวมลดลง
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ส่งสัญญาณรายได้เติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จากการปรับกลยุทธ์หาลูกค้ารายใหม่เข้ามาเสริมพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้น ลูกค้าปัจจุบันทั้ง IC Packaging & Wafer dicing, Optics, Advanced Packaging และ Box Build & PCBA บริษัทฯ ได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) แล้วเกือบทั้งหมด และมีออเดอร์ยาวไปจนถึงไตรมาส 1/2564
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินงาน ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก รวมทั้งการปรับปรุงพื้นที่ภายในโรงงานเพื่อรองรับการผลิตโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม จากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลกในกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม (Telecom) โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Hi Speed) มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากจากการให้บริการ 5G และ Internet of Things (IoT) รวมทั้งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและการแพทย์ เชื่อว่าจะสนับสนุนรายได้ปีนี้โต 13% ตามแผน และสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่า 20%
“กลยุทธ์ธุรกิจปีนี้เราขยายตลาดไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อมุ่งเน้นให้ธุรกิจในระยะยาวเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น รวมถึงการสร้างศักยภาพภายในองค์กรเพื่อการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดใหม่ๆ” นายวิรัตน์กล่าวทิ้งท้าย