xs
xsm
sm
md
lg

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนที่ 24

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“หลายคนรู้จัก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์มากฝีมือ ผ่านบทบาทของการเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง BOT พระสยาม MAGAZINE ได้สนทนาถึงประเด็นเรื่องบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจไทย หรือ ‘New Normal’ และยังมีอีกหลายแง่มุมของชีวิตนักเศรษฐศาสตร์คนนี้ที่อาจคาดไม่ถึง”

เมื่อตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางสายเศรษฐศาสตร์ ดร.เศรษฐพุฒิ จึงมุ่งมั่นหาความรู้และประสบการณ์ในการทำงานอย่างเข้มข้น เขามีดีกรีเป็นนักเรียนทุนด้านเศรษฐศาสตร์จาก Swarthmore College และต่อมาได้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกจาก Yale University ประเทศสหรัฐอเมริกา

ในแง่ของประสบการณ์การทำงาน ดร.เศรษฐพุฒิ เคยร่วมทีมอยู่ในองค์กรชั้นนำระดับโลกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ชื่อดังอย่าง McKinsey & Company รวมถึงเป็นเศรษฐกรไทยที่ทำงานอยู่ในธนาคารโลก (World Bank) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นานนับ 10 ปี ประสบการณ์ตลอดระยะเวลาเหล่านี้ หล่อหลอมให้ ดร.เศรษฐพุฒิ กลายเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของประเทศไทย

“ข้อดีอย่างหนึ่ง คือ มันช่วยให้ผมเกิดมุมมองที่หลากหลายมาก เวลาจะทำอะไร เราย่อมคิดถึงและเข้าใจมุมมองของคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ยกตัวอย่างสมัยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ผมได้กลับมาช่วยงานที่กระทรวงการคลัง หลังจากที่เคยทำงานอยู่ใน World Bank คราวนี้เรากลับต้องมานั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ต้องเจรจากับ IMF รวมถึง World Bank ด้วย ซึ่งดีเลย เพราะเราพอจะเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร ช่วยให้เราเห็นภาพระหว่างการเจรจาว่าจะประกอบไปด้วยเรื่องอะไรบ้าง”

สำหรับบทบาทหน้าที่ในปัจจุบัน ดร.เศรษฐพุฒิ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของสถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation) ซึ่งเขายอมรับว่าประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานทั้งในฝั่งของภาคเอกชนและภาคราชการ ไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ ล้วนมีส่วนช่วยเสริมสร้างให้เขามีมุมมองที่หลากหลาย เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานในโลกยุคปัจจุบัน

“แม้กระทั่งตอนออกนโยบายการเงิน ด้วยความเข้าใจในฐานะคนที่เคยถูกผลกระทบจากนโยบายว่าเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็เคยทำงานอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถูกกำกับดูแล ผมจึงเข้าใจว่าการออกนโยบายหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ นั้น พวกเขาจะคิดเห็นกันอย่างไร ตรงนี้แหละที่ช่วยให้เรามีมุมมองที่ครบทุกด้าน”

ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยกำลังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลายคนเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าเศรษฐกิจภายใต้ ‘บริบทใหม่’ หรือ ‘New Normal’ ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่านี่เป็นสภาวะปกติที่ทุกประเทศต้องเผชิญเมื่อระบอบเศรษฐกิจพัฒนาจนส่งผลให้ระดับรายได้ต่อหัวของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น การเติบโตจึงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“สำหรับประเทศไทยอาจถือว่าเราเจอภาวะ New Normal นี้เร็วผิดปกติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงสร้างประชากรไทย Aging เร็วมาก เปรียบเสมือนคนที่ ‘แก่ก่อนรวย’ คือ ประชากรวัยทำงานของเรามีจำนวนเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยลง แต่ประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ กลับยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร รวมถึงปัจจัยการผลิตอย่างเทคโนโลยีที่เราควรมี มันยังไม่มี สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิต และระดับรายได้สำหรับประชากรส่วนใหญ่ในประเทศยังไม่ดี แต่อัตราการเติบโตกำลังชะลอตัวลดลง แล้วเราจะสร้างความมั่งคั่งให้พวกเขาอย่างไร จะสร้างโอกาสให้เขาอย่างไร นี่คือปัญหา”

ดังนั้น โจทย์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านสภาวะ New Normal ควรดำเนินไปในทิศทางใด ดร.เศรษฐพุฒิ ได้ให้ความเห็นว่า “ในเมื่อแทร็กเดิมหรือสิ่งที่เราทำกันมาตลอด เริ่มไม่ค่อยให้ผลตอบแทนดีเท่าเดิม มันจึงเริ่มหมดเสน่ห์ เราจึงต้องหาแทร็กอื่นที่จะนำไปสู่ ‘The Newer Normal’ ซึ่งดีกว่าของเดิมที่เรามี ส่วนรูปแบบของ The Newer Normal จะมีอะไรบ้างนั้นเราควรต้องไปหาแหล่ง Source of Growth ใหม่ เนื่องจากแหล่งเดิมไม่สามารถสร้างการเติบโตได้แล้ว ตัวอย่างเช่น เดิมภาคธุรกิจอาจกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่ออัตราการขยายตัวเริ่มลดลงภาคธุรกิจก็ควรปรับตัวไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นต้น”

ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่บริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายมิติ เช่น ตัวอย่างที่กล่าวถึงเรื่องโครงสร้างประชากร ซึ่ง ดร.เศรษฐพุฒิ คิดว่าเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือ
อำนาจหน้าที่ของแบงก์ชาติ มีขอบเขตกว้างเกินกว่าที่หน่วยงานราชการเพียงแค่หน่วยงานเดียวจะรับผิดชอบได้

“ทางเลือกมันหนีไม่พ้นและมีอยู่ไม่กี่ทาง หลายเรื่องอย่างโครงสร้างประชากรถือเป็นปัญหาสะสม อยู่ดีๆ จะให้ประชากรในวัยทำงานเพิ่มขึ้นทันทีคงเป็นไปได้ยาก ถ้าจำนวนคนไม่เพิ่มขึ้นจึงมีเพียงทางเลือกเดียวที่เหลือ นั่นคือเราต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมาจากการลงทุนด้านนวัตกรรมและปัจจัยด้านการผลิตอื่นๆ ส่วนตัวผมคิดว่าแต่ละคนควรทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดในเรื่องที่พึงควรทำ ถึงแม้ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่ก็ต้องเข้าใจว่าต้นตอของปัญหาหลายอย่างไม่ได้อยู่ที่นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียว บทบาทของนโยบายการเงินย่อมมีข้อจำกัด ไม่ใช่ดาบกายสิทธิ์ที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง หากใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมหรือใช้ผิด มันจะเกิดความเสี่ยง และ Downside มหาศาล”

ดร.เศรษฐพุฒิ ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงหนทางแก้ไขเพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่ดีกว่า “เรื่องแรกเราต้องปรับ Mindset ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเอกชน ประชาชน หรือวิชาการ อย่าคอยให้ภาครัฐลงมือทำอย่างเดียว แต่ควรวางบทบาทให้รัฐเป็น Facilitator ช่วยผลักดันกระบวนการต่างๆ ที่ภาคเอกชนและประชาชนดำเนินการ รวมถึง Mindset เรื่อง Sense of Urgency จากที่เคยคิดว่าเป็นปัญหาในระยะยาว คราวนี้จะปล่อยผ่านไม่ได้แล้ว”


เมื่อว่างจากการทำงาน กิจกรรมที่ ดร.เศรษฐพุฒิ โปรดปราน คือ การอ่านหนังสือซึ่งเป็นความเคยชินมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้การอ่านก็ยังเป็นการผ่อนคลายที่ทำเป็นประจำ แต่ในวันที่เขาเหนื่อยล้าจากการทำงานจนไม่มีแรงพลิกหน้ากระดาษ เขาจะใช้วิธีการ ‘ฟังหนังสือ’ ผ่าน Audio Book โดยแนวที่ชอบเป็นหนังสือประวัติศาสตร์สงครามเพราะทำให้เห็นกระแสหรือเทรนด์จากการตัดสินใจได้อย่างชัดเจน

ในฐานะนักอ่านได้แนะนำหนังสือที่น่าสนใจให้คนที่แบงก์ชาติได้อ่าน

“ก่อนอื่นผมขอชื่นชมคุณภาพของบุคลากรที่ทำงานในแบงก์ชาติ ก่อนหน้านี้ผมพอจะรู้มาบ้างว่าคนแบงก์ชาติเก่ง มีความสามารถ แต่เมื่อได้มาสัมผัสและร่วมงานกับน้องๆ หลายคน ผมประทับใจเกินคาด รวมถึงทัศนคติในการทำงานยิ่งทำให้ประทับใจและพูดชมได้เต็มปากเต็มคำ ซึ่งผมอยากเห็นคนกลุ่มนี้ได้มีบทบาทมากขึ้น สามารถฉาย Skill ของเขาได้เต็มที่ ถ้าจะให้แนะนำหนังสือสำหรับคนแบงก์ชาติ โดยที่เราก็รู้จักคนแบงก์ชาติว่าอยากจะให้พวกเขาอ่านอะไร เพื่อจะช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ๆ แก่เขา ผมคิดมา 2 เล่ม

“เล่มแรกเป็นหนังสือ ชื่อ ‘A Demon of Our Own Design’ เขียนโดย Richard
Bookstaber เนื้อหาหลักๆ บอกว่าทำไมวิกฤตการเงินจึงเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น จากเหตุการณ์ผันผวนตลาดครั้งเดียวในรอบ 100 ปี กลับเกิดขึ้นทุก 10 ปี เขาอธิบายว่า เป็นเพราะทุกอย่างในโลกทวีความซับซ้อนขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยส่วนตัวผมชอบนักเขียนคนนี้เพราะมีมุมมองน่าสนใจ เขาเติบโตมาจากสายงานของนักวิชาการ ทำงานเป็นอาจารย์อยู่ช่วงหนึ่งและผ่านการทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ใน Wall Street จึงเห็นตับไตไส้พุงเกือบทั้งหมด แต่ยังคงมีความเป็นนักวิชาการแฝงอยู่ เลยเป็นการผสมมุมมองที่ผมคิดว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนของแบงก์ชาติ ผมว่ามันช่วยเตือนสติพวกเราถึงการนำนวัตกรรมการเงินจากต่างประเทศมาใช้ บางทีเราอาจคิดว่าของใหม่ดี เก๋ เซ็กซี่ ซึ่งอาจไม่ดีเสมอไป เพราะเมื่อโยงกลับมาเรื่องการบริหารความเสี่ยง หาก Innovation เข้ามาทำให้ตลาดมันเกิดประสิทธิภาพ เวลาเกิดข้อผิดพลาด มันย่อมสร้าง Downside มหาศาลเช่นกัน หนังสือเล่มนี้จะช่วยเตือนสติถึงเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี”

หนังสือเล่มที่ 2 ดร.เศรษฐพุฒิ เกริ่นว่ามันจะช่วยเตือนสติอีกรูปแบบหนึ่ง ชื่อ ‘The Tyranny of Experts’ เป็นผลงานของ William Easterly ผู้เคยทำงานอยู่ฝ่ายวิชาการที่ World Bank ในช่วงที่ดร.เศรษฐพุฒิ ทำงานอยู่ที่นั่น

“มุมมองของหนังสือเล่มนี้กำลังบอกเราว่าพวกที่ถูกฝึกเรื่องเทคนิคเยอะๆ หรือพวก Technocrat มักจะชอบให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยคิดว่านโยบายต้องเป็นอย่างนี้ แล้วนำเอาไปปฏิบัติ ซึ่งอันที่จริงของพวกนี้ไม่ค่อยเวิร์ก เพราะ Expert ไม่มีทางรู้ทุกเรื่องได้ ทั้ง 2 เล่มนี้มีธีมของเนื้อหาใกล้เคียงกัน คือ อธิบายถึงความซับซ้อนของโลกในยุคปัจจุบันว่า Complexity เกิดขึ้นสูงมากจนเราไม่มีทางกำหนดได้แน่นอนว่าทำอะไรลงไปแล้วจะเกิดผลอย่างที่เราคิดหรือไม่ ซึ่งมันมีศัพท์เรียกว่า Emerging Solution หรือ Emerging Behavior คือ อย่าไปคิดแทน ปล่อยให้กลไกต่างๆ ทำงานและโซลูชันจะโผล่ออกมาเอง”

เมื่อถามว่าเขาอยากจับปากกาเขียนหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่มหรือเปล่า? ดร.เศรษฐพุฒิ ยอมรับว่ามีไอเดียนั้นอยู่แล้ว แต่การหา ‘เวลา’ สำหรับผลิตผลงานนั้นยากกว่าหลายเท่าตัว

“ผมยอมรับว่าการบริหารเวลาเป็นอะไรที่ยากครับ” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับเล่าต่อว่า “ผมมองว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์เรา ผมจึงเป็นคนที่หวงเรื่องเวลามาก เลยเป็นที่มาของการอยากออกมาทำธุรกิจเอง แต่ก็เหมือนเราต้องกลับมาเรียนรู้ตัวเองอีกครั้ง เพราะจากเดิมคิดว่าออกมาแล้วจะมีเวลามากขึ้น กลับกลายเป็นว่าเราบริหารเวลาได้ยากขึ้นไปอีก”

แม้เวลาจะมีค่ามาก แต่เขาก็ยังให้เวลากับกิจกรรมยามว่างสุดสัปดาห์ เขาเลือกที่จะอ่านหนังสือ วาดภาพ หรือแม้แต่นั่งเฉยๆ เพื่อให้เวลากับการคิด ที่บ้านพักหลังเล็กๆ เงียบสงบในจังหวัดนครนายกกับภรรยา ดูเป็นกิจกรรมที่แสนจะธรรมดาสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าเช่นเขา

บุคคลที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดในการใช้ชีวิตของเขาคือ คุณพ่อ "สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากคุณพ่อ คือ ความสำคัญของ Integrity ท่านสอนให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่เรารู้"

นอกจากนั้น ดร.เศรษฐพุฒิ ไม่ได้เจาะจงบุคคลต้นแบบว่าเป็นใคร แต่เขาได้เรียนรู้จากทุกคนรอบข้าง เช่น เพื่อนร่วมงานผู้ให้แนวคิดเรื่องการไม่ละเลยสิ่งเล็กน้อย ที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มีผลต่อจิตใจของผู้ที่ร่วมงานด้วยกัน

เคล็ดลับเพื่อการมีความสุขและความสำเร็จ โดย ดร.เศรษฐพุฒิ ได้เล่าถึงสิ่งที่จะทำให้มีความสุขว่า “การรู้จักตัวเองและซื่อสัตย์ต่อตัวเองครับ อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว เพราะผมก็เหมือนกับหลายคนที่ยังมีกิเลส เมื่อก่อนเวลาคนชวนไปทำงานเป็นผู้บริหารระดับสูง ดูแลบริษัทขนาดใหญ่ คือ On Paper เป็นงานที่ดูดีจริง แต่นั่นเป็นงานที่ผมชอบน้อยที่สุดและเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขน้อยที่สุดเช่นกัน ฉะนั้น มันจึงกลับมาที่ตัวเราควรต้องวัดจากข้างใน อย่าไปวัดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร”

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับความสำเร็จสั้นๆ แต่ให้ข้อคิดว่า “มีใครล่ะที่ไม่ชอบความสำเร็จ คือ ความสำเร็จสำคัญนะ แต่ถ้าไปยึดติดกับมันมาก ชีวิตของเราคงไม่มีความสุขนักหรอก”

https://www.bot.or.th/broadcast/EBook/BOT5_58/mobile/index.html#p=44


กำลังโหลดความคิดเห็น