xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้ชี้ครึ่งปีหลังยังผันผวน แนะเก็บกลุ่มเฮลธ์แคร์-เทคโนโลยี

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทิสโก้ เวลธ์ ชี้ครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อเนื่อง แนะกลุ่มเมกะเทรนด์ นำโดย "เฮลธ์แคร์-เทคโนโลยี" ให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะที่ตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วเป้าหมายที่ 1,400 จุดบวกลบ

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้ เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ (TISCO)
เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัยต่อเนื่อง ได้แก่ การระบาดของโควิด-19 รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤจิกายนที่จะถึงนี้ ที่จะทำให้เกิดความผันผวนในตลาดเงิน-ตลาดหุ้น และสงครามการค้าที่แม้จะมีการเซ็นสัญญาในเฟสหนึ่งไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะหดตัวกว่า 4%

แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงน่าสนใจ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมีการขยายงบดุลด้วยการทำ QE อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้มีเม็ดเงินออกมาแล้ว 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าสิ้นปีนี้จะแตะที่ระดับ 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและคาดว่าจะต่ำต่อเนื่องไปถึงปี 2022 จะเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มเมกะเทรนด์ที่จะช่วยสร้างผลกำไรในช่วงเศรษฐกิจถดถอย

นางวรสินี เศรษฐบุตร หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกถดถอย และผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกันเป็นวงกว้าง ทิสโก้แนะนำหลักทรัพย์ที่น่าสนใจยังคงเป็นหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยกองทุนที่ธนาคารนำเสนอ ได้แก่ กองทุนเปิดทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ กองทุนเปิดวรรณ โกลบอล อีคอมเเมิร์ซ และกองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกร์ธ ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป

"เราเริ่มให้คำแนะนำกลุ่มเมกะเทรนด์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และจะยังเป็นกลุ่มน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่เป็นดิจิทัล และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะเมกะเทรนด์เป็นเทรนด์ใหญ่ที่เป็นการเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต จึงสามารถให้ผลตอบแทนได้ยาว เราจึงแนะนำในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยแนะนำประมาณ 60-70% ของพอร์ต ทองคำยังน่าจะไปได้ต่ออีกสามารถมีติดพอร์ตได้ 5-10% ที่เหลือเป็นอื่นๆ หุ้นไทยก็ลงได้บ้าง แต่ยังเราไม่แนะนำตราสารหนี้ในช่วงนี้"

ส่วนตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดเมื่อช่วงเดือน มี.ค.2563ไปแล้ว ตอนนี้กลับมามีอัปไซด์มากขึ้นแต่ไม่มาก ในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้มองว่าหุ้นไทยมีอัปไซด์อยู่ที่ 1,400 จุดบวกลบ ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมาพึ่งการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นหลัก ซึ่งโอกาสกลับมาเติบโตของทั้ง 2 กลุ่มยังยาก ดังนั้น นักลงทุนควรเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นไทยที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าสนใจนยังคงเป็นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มปิโตรเคมี ส่วนกองทุนที่แนะนำ คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ โดยกองทุนดังกล่าวเน้นลงทุนใน 5 อันดับแรก คือ หุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF หุ้นบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL หุ้นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC หุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และหุ้นบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC

ส่วนในช่วง 6 เดือนของปีนี้ มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าเติบโตมากกว่าสิ้นปีก่อนที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น 10% โดยปัจจุบันสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUA) มูลค่า 28,000 ล้านบาท หรือยังคงใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน จากมูลค่าตลาดที่ลดลงและมีการขายทำกำไรบางส่วนออกมา และในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะยังมีเงินไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง แต่ปริมาณอาจชะลอตัวลงบ้าง จากภาวะตลาดผันผวนตามเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ทั้งนี้ ปัจจุบันฐานลูกค้าทิสโก้เวลธ์ ที่มีเงินลงทุน 5 ล้านบาทมีเกือบ 100,000 ราย
กำลังโหลดความคิดเห็น