xs
xsm
sm
md
lg

2563 ปีแห่งการโละสต๊อก ปีทองของคนซื้อบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ไนท์บริดจ์ ไพร์ม สาทร (ตึกขวา)
2563 ปีแห่งการโละสต๊อก ปีทองของคนซื้อบ้าน ผู้ประกอบการชี้แคมเปญลดราคาได้ผล 6 เดือน แม้กำไรลด แต่ยอดขายโต ปิดโครงการลดโอเวอร์เฮด แนะผู้บริโภคอย่าเห็นแก่ของถูก ต้องรู้วัตถุประสงค์การซื้อ เช็กรายได้ หนี้ เงินในกระเป๋า ผ่อนสบาย

สงครามราคาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยลดราคาตั้งแต่ 10-50% บวกกับการออกแคมเปญแรงๆ ของผู้ประกอบการในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเร่งระบายสต๊อก สร้างกระแสเงินสด ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายสร้างยอดขายได้แม้ในภาวะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่จบลง สะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อยังมี ความต้องการของผู้บริโภคยังมี แต่การซื้อต้องมีสติ แม้ว่าการลดราคาจะดึงดูดใจมากแค่ไหนก็ตาม เพราะการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องสำคัญต้องคิดให้รอบคอบ

พีระพงศ์ จรูญเอก
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า สินค้าที่ขายอยู่ในตลาดปัจจุบันคือสินค้าที่สร้างเสร็จแล้ว เป็นสต๊อกรอขายที่ผู้ประกอบการพยายามขายมาระยะหนึ่งแล้ว และเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การขายสินค้าใหม่ทำได้ยาก จึงทำแคมเปญขายลดราคาเพื่อโละสต๊อก สร้างกระแสเงินสดในมือ ขณะที่ธนาคารก็อยากปล่อยสินเชื่อ ข้อดีของผู้บริโภคในช่วงนี้คือ เห็นห้องจริง ราคาไม่ต้องรอพรีเซลส์เพราะถูกเหมือนช่วงพรีเซลส์ หรือราคาย้อนหลังไปเมื่อ 3-5 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีโปรโมชันอื่นๆ เพิ่มเติม ทำให้ช่วงนี้กลายเป็นยุคทองของผู้ซื้อจริงๆ

ในส่วนของผู้ประกอบการแม้ว่าจะต้องลดราคาสินค้าลงมาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ เร่งระบายสต๊อก อาจทำให้กำไรลดลงไปบ้าง แต่เชื่อว่ายังคงมีกำไรอยู่ นอกจากนี้ห้องชุดที่นำมาขายส่วนใหญ่เป็นสินค้าเหลือขายของแต่ละโครงการที่จะมีประมาณ 10-15% ซึ่งขายกันมานาน ส่วนใหญ่เป็นห้องที่อาจมีตำหนิ เช่น วิวไม่สวย ห้องมุมอับตำแหน่งไม่ดี ทำให้ให้ขายได้ยาก แต่การที่ยังมีห้องเหล่านี้อยู่ถือเป็น Overhead Cost คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการผลิต เพราะต้องมีป้ายโฆษณา มีพนักงานขายประจำโครงการ และต้นทุนการตลาดอื่นๆ ซึ่งผู้ประกอบการต้องการเคลียร์ออกอยู่แล้วทำให้เห็นว่า แม้มีการลดราคา 10-50%

“สินค้าจริงผู้บริโภคสามารถไปดูได้เลยว่าเป็นอย่างไร ห้องอยู่ตรงไหน ชั้นไหน ต่างจากพรีเซลส์ที่ต้องใช้จินตนาการเยอะ ผู้บริโภคที่ซื้อบางรายไม่ได้สนใจว่าห้องจะมุมไม่ดี หรือมีตำหนิ เขาสนใจว่าเป็นราคาที่รับได้ งบมีถึง หรือบางรายซื้อไปปล่อยเช่าไม่ได้เน้นมาอยู่อาศัยขอให้ได้ราคาถูก เพราะราคาปล่อยเช่าเท่ากัน ที่ผ่านมาจะเห็นกลุ่มนักลงทุนซื้อแบบ 5-10 ห้อง บางโครงการเปิดขาย 15-20 ห้อง คนเดียวซื้อเหมาไปเลย กลุ่มเหล่านี้ซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งผู้ประกอบการได้ประโยชน์ที่สามารถระบายสต๊อก ปิดโครงการได้ ลด Overhead ซึ่งที่ผ่านมาออริจิ้นสามารถปิดโครงการไปได้ 5 โครงการ” นายพรีพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ ยังพบว่าโครงการบ้านแนวราบขายดีกว่าคอนโดมิเนียม ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การล็อกดาวน์ทำให้ทุกคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน การอยู่คอนโดฯ ไม่สะดวกสบายหลายเรื่องทำให้คนต้องการซื้อบ้านเพื่อให้มีพื้นที่ มีห้องทำงาน หรือสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีบริษัทขนาดใหญ่หลายราย เช่น บริษัทรถยนต์ต้องการให้พนักงานราว 30% ทำงานที่บ้าน ทำให้มีความต้องการบ้านเพิ่มขึ้น

ยอดขาย 6 เดือนแรกดีเกินคาด

การทำแคมเปญและการลดราคาขายทำให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต๊อกและสร้างยอดขายได้ดีเกินคาด สำหรับบริษัทในช่วง 5 เดือน สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 18% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 และคาดว่าจบ 6 เดือนจะมียอดขายประมาณ 10,000 ล้านบาทต้นๆ โดยยอดขายในไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาส 1 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายครึ่งปี และคาดว่าทั้งปีจะมียอดขายสูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ 21,000 ล้านบาท แม้ในภาวะที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ยังสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 20% แม้ว่าจะลดราคาขายก็ตาม

จากการที่บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา แม้ในภาวะที่มีโรคระบาด ทำให้บริษัทเดินหน้าแผนลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2563 จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท จากแผนทั้งปีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรราว 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,900 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนบ้าน 61% คอนโดฯ 49%

กระจายการลงทุน กระจายความเสียง

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียม ปรับปรับแผนลงทุนดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2562 ที่ตลาดคอนโดฯ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ เช่น มาตรการ LTV กลุ่มลูกค้าชาวจีนได้รับผลกระทบ สต๊อกในตลาดมีจำนวนมาก ทำให้บริษัทปรับแผนการลงทุนหันมาเน้นโครงการแนวราบเพื่อกระจายความเสี่ยง

นอกจากการกระจายการลงทุนมาในโครงการแนวราบแล้ว บริษัทยังกระจายการลงทุนในทุกเซกเมนต์อีกด้วย โดยจะพัฒนาในทุกระดับราคาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย หลังจากที่มีคอนโดฯ ในทุกเซกเมนต์แล้ว บริษัทจะขยายการลงทุนบ้านให้มีทุกระดับราคา โดยหลังจากนี้จะเห็นโครงการบ้านแนวราบของออริจิ้นในระดับราคา 7 ล้านบาท ไปจนถึง 30 ล้านบาท เพราะในแต่ละปีจะฮิตสินค้าแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน การมีสินค้าที่หลากหลายจะช่วยให้การทำธุรกิจได้ดีกว่า เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากกว่า และหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบในตลาดใดตลาดหนึ่ง ก็จะยังมีสินค้าหรือธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทอย่างสม่ำเสมอ

“เมื่อเกิดโควิด-19 ขึ้นทำให้ได้เห็นอะไรหลายอย่าง บริษัทเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน การวิจัยที่การตลาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เน้นกระจายการลงทุนไปในทุกเซกเมนต์ เพราะในแต่ละปีสินค้าจะบูมต่างกัน ฮิตต่างกันการออกแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้ง Old Normal, New Normal และ Next Normal ต้องทำอย่างไร” นายพีระพงศ์ กล่าว

นลินรัตน์ เจริญสุพงษ์
อยากได้บ้านต้องรีบซื้อก่อนขึ้นราคา

นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า การทำการตลาดของผู้ประกอบการในขณะนี้เน้นการทำแคมเปญและลดราคา เช่น แคมเปญอยู่ฟรี ผ่อนให้ 1-3 ปี ส่วนการแจก แถมต่างๆถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีไปแล้ว โดยเฉพาะการลดราคาผู้ประกอบการบางรายลดสูงสุดถึง 50% และเป็นการลดราคาจริงๆ ที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน

สินค้าที่ขายในช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นสต๊อกสร้างเสร็จ ยูนิตเหลือขายภายในโครงการโดยปกติจะมีประมาณ 10-15% โดยผู้ประกอบการจะต้องจัดให้ตัวแทนขายหรือเซลส์ไว้ค่อยบริการลูกค้าที่จะเข้ามาดูโครงการ เมื่อมีโครงการเหลือขายจำนวนมากย่อมทำให้มีต้นทุนมากตามไปด้วย ประกอบการมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเปิดโครงการใหม่มีความเสี่ยงอย่างมาก การขายทำได้ยาก การระบายสต๊อกเก่าและสร้างกระแสเงินสดถือเป็นทางเลือกที่ดี ทำให้เปิดปรากฏการณ์ลดราคา หรือสงครามราคาเช่นในปัจจุบัน

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่ปี 2562 จากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจ มากตราการ LTV และปัญหาของกลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นชาวจีน ทำให้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ผู้ประกอบการชะลอแผนลงทุนโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมหลายรายหันไปพัฒนาโครงการแนวราบ เพื่อกระจายความเสี่ยง และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้ตลาดไม่ได้ทรุดไปมากนัก

“การทำแคมเปญ และการลดราคามากถึง 30-50% ของผู้ประกอบการถือว่าได้ผล ผู้บริโภคตื่นเต้นเพราะไม่เคยมีปรากฏมาก่อนว่าจะมีการลดราคาเยอะขนาดนี้ ทำให้ผู้ที่มีกำลังซื้อ และผู้ที่ต้องการซื้อบ้านอยู่แล้วตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มนักลงทุน คนที่มีฐานะกลุ่มเงินเย็นเข้ามาซื้อรายละหลายยูนิต คนที่ต้องการซื้อบ้านช่วงนี้ควรรีบซื้อเพราะถือว่าเป็นช่วงที่ราคาดีที่สุดแล้ว หากช้าอาจจะไม่ได้ห้องที่อยากได้ ไม่ได้ชั้นหรือตำแหน่งที่ต้องการ ซื้อของในทำเลซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีทางซื้อได้ในราคาย้อนหลังไป 4-5 ปี” นางนลินรัตน์ กล่าว

ปรากฏการณ์ลดราคาโละสต๊อกจะทำได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยคาดว่าจะมีไปจนถึงไตรมาส 3 นี้เท่านั้น เพราะเมื่อสต๊อกลดไปในระดับที่ผู้ประกอบการวางเป้าหมายเอาไว้ ก็จะค่อยปรับราคาขึ้นๆ แม้ว่าจะมีการระบายสต๊อกออกไปมากพอสมควร แต่ก็จะมียูนิตที่ทยอยสร้างเสร็จออกมาเติมเป็นสต๊อกใหม่ในตลาด ซึ่งจะทำให้ในภาพรวมของสต๊อกเหลือขายปรับลดลงไม่มากนัก

2563 ปี แห่งการโละสต๊อก
ส่วนแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง ไตรมาส 3 ของปีนี้อสังหาฯ ยังต้องพึ่งตลาดคนไทยเป็นหลัก และมาลุ้นกันว่าไตรมาส 4 ตลาดต่างชาติจะกลับมาหรือไม่ เดินทางมาเมืองไทยได้หรือไม่ ซึ่งจากการสอบถามกลุ่มลูกค้าชาวจีน โบรกเกอร์พบว่า ชาวจีนยังมีความต้องการมาเที่ยวเมืองไทย และซื้ออสังหาฯ ของไทย แต่ไม่สามารถเดินทางมาได้ หากสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นก็เชื่อว่ากลุ่มลูกค้าชาวจีนจะกลับมาซื้ออสังหาฯ ไทยเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม หากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติกลับมาไม่ได้ ปีนี้จะถือเป็นปีแห่งการโละสต๊อก ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะทำให้สต๊อกเหลือขายในตลาดจำนวนมากลดลงไป

นางนลินรัตน์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณน่าเป็นห่วง เพราะถือว่ายังปรับตัวได้ดี ยังสามารถทำกำไรได้ แม้ว่าจะมีการลดราคาสินค้าลงมาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ สินค้าที่สร้างเสร็จยังสามารถขายได้ ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างก็ยังคงเดินหน้าก่อสร้างต่อ ยังไม่ได้ยินว่ามีโครงการใดหยุดการก่อสร้าง ยกเว้นที่ดินเปล่าที่ยังไม่ได้พัฒนาอาจชะลอการลงทุน บางรายตัดขายไปบ้าง

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดหรือเมืองท่องเที่ยวที่สร้างเสร็จแล้วอาจจะต้องปรับรูปแบบการขายใหม่ เช่น การขายแบบการันตีผลตอบแทน เน้นกลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่า เพราะช่วงนี้ลูกค้ายังเป็นคนไทย ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างสิ่งสำคัญคือการสร้างให้แล้วเสร็จ หลังจากนั้นค่อยมาคิดว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นใคร จะเป็นคอนโดเทล หรือเป็นการปล่อยเช่าระยะกลางๆ ค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“สถานการณ์ตลาดในขณะนี้ไม่ได้แย่มาก อย่างที่คิดกันเอาไว้ เพราะตลาดอสังหาฯของเราเริ่มแย่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่มี LTV ประกาศใช้ ทำให้ในช่วงต้นปีผู้ประกอบการชะลอการลงทุน หลายรายปรับตัวหันไปพัฒนาโครงการแนวราบที่ลูกค้าเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ทำให้ลดผลกระทบลงไปมาก เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดก็เลยทำให้เป็นโอกาสในการระบายสต๊อกกันจริงๆ” นางนลินรัตน์ กล่าว

ซื้อคอนโดฯ ให้ได้ห้องถูกใจ สบายกระเป๋า
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมจำนวนมากนำห้องชุดออกมาลดราคา 10-50% ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ดึงดูดใจผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียม และกลุ่มที่มีกำลังซื้อ กลุ่มเงินเย็น แต่จะเลือกซื้ออย่างไรไม่ให้มานั่งเสียใจในภายหลัง หรือเลือกอย่างไรไม่ให้ค่าผ่อนต่อเดือนสูงจนต้องใช้ชีวิตลำบากไปอีกหลายปี ซึ่งเน็กซัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้แนะนำการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ค่าผ่อนสบายกระเป๋า เพราะการซื้อคอนโดมิเนียมนับเป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ดังนั้น การตัดสินใจก่อนจะเลือกซื้อ ต้องมีความรอบคอบ ยิ่งในช่วงนี้ ที่ตัวเลือกมีมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะตรวจเช็กเงินในกระเป๋าอย่างไร ให้ตอบโจทย์ความต้องการในการเลือกซื้อคอนโดฯ อย่างเหมาะสม


1.เช็กรายได้คงที่ต่อเดือน
หากว่าเราไม่ได้ซื้อด้วยเงินสดทั้งก้อนเต็มจำนวน จะต้องยื่นกู้จากธนาคาร ซึ่งทางธนาคารจะเริ่มพิจารณาเบื้องต้นจาก “รายได้คงที่ต่อเดือน” บางคนที่มีงานประจำ “รายได้คงที่ต่อเดือน” ก็คือ เงินเดือน แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีงานประจำ คำว่า “รายได้คงที่ต่อเดือน” จะหมายถึงรายได้ที่เราได้รับในจำนวนประมาณเท่าๆ กันในทุกๆ เดือน เพื่อให้ทางธนาคารมั่นใจได้ว่า เรามีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้นั่นเอง

ทางธนาคารจะทำการประเมินวงเงินกู้ โดยจะคิดจากจำนวนเงินที่ผู้กู้สามารถผ่อนชำระได้ในแต่ละงวด โดยอัตราส่วนเบื้องต้น คือ จำนวนเงินผ่อนต่องวดที่ 6,000 บาท ต่อยอดหนี้ 1 ล้านบาท หรือผ่อนล้านละ 6,000 บาท ดังนั้น หากมีเงินเดือน 20,000 บาท ราคาคอนโดที่สามารถกู้ซื้อได้จะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาท เป็นต้น

สำหรับคอนโดฯ พร้อมอยู่ ลูกค้าที่ซื้อเป็นบ้านหลังแรกสามารถกู้ได้ 100% และยังสามารถกู้ตกแต่งเพิ่มได้อีก 10% รวมแล้ว สามารถกู้ได้เป็น 110% แต่อัตราดอกเบี้ยที่ยอดกู้ 110% นี้ จะมีอัตราสูงกว่าปกติ ส่วนในกรณีลูกค้ายื่นกู้เป็นบ้านหลังที่ 2 ลูกค้าต้องมีเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10%


2.รายจ่ายที่จำเป็นต่อเดือน
โดยปกติแล้วลูกค้ามีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อเดือนอยู่แล้ว เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้ คือ “ภาระหนี้” ซึ่งภาระหนี้ที่มีทั้งหมดต้องมีไม่เกิน 40-50% ของฐานรายได้ ซึ่งในบางธนาคารมีเงื่อนไขในการพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อที่ง่ายขึ้น และข้อดีของการกู้ซื้อคอนโดฯ ในช่วงนี้คือ อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงทำให้ภาระการผ่อนต่อเดือนลดลงด้วย

3.การเปรียบเทียบราคาเพื่อให้ได้สินค้าที่เหมาะกับความต้องการมากที่สุด
การซื้อคอนโดฯ ไม่เหมือนกับซื้อรถ เพราะคอนโดฯ คือการลงทุนระยะยาว และมูลค่าของคอนโดฯ ไม่ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับรถ เราซื้อรถเราอาจจะไปศูนย์ที่ให้ราคาดีที่สุดได้ แต่การซื้อคอนโดฯ นอกจากจะเลือกราคาดีที่สุดแล้ว ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็น โปรโมชันที่ให้ การดูเรื่องค่าส่วนกลาง การเปรียบเทียบด้านทำเล ดังนั้นเราไม่ควรวู่วาม และต้องคิดให้รอบคอบ เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่สำคัญควรมีตัวเลือกให้เปรียบเทียบหลายๆ ชอยส์

4.วัตถุประสงค์ในการซื้อคอนโดฯ
แม้ว่าเราจะตรวจเช็กเรื่องเงินอย่างรอบคอบแล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ถามความต้องการของตัวเองให้แน่ใจว่า “เราจะซื้อไปเพื่ออะไร” คำถามนี้จะทำให้เรามีสติในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น

วัตถุประสงค์ซื้อเพื่ออยู่อาศัย หากเป็นวัตถุประสงค์นี้เราจะต้องมุ่งไปที่ความจำเป็นในชีวิตของเราเป็น หลัก เช่น จำนวนผู้อยู่อาศัย ทำเลที่เหมาะสมเพราะจะช่วยประหยัดเงินในการจ่ายค่าเดินทางด้วย การมีส่วนกลางของคอนโดฯ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่เราในอนาคต

วัตถุประสงค์ซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 สำหรับสิ่งจำเป็นในการซื้อบ้านหลังที่ 2 นี้ เราจะต้องดูว่าซื้อไว้เพราะอยู่ใกล้โรงเรียนลูก ใกล้ที่ทำงาน ใกล้โรงพยาบาล ไว้สำหรับพักผ่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบเรื่องเงินในภายหลัง เพราะการมีบ้านหลังที่ 2 นั่นหมายถึงว่าคุณต้องมีความมั่นคงทางการเงินมากพอที่จะรับภาระค่าใช้จ่าย

วัตถุประสงค์ ซื้อเพื่อปล่อยเช่า อันนี้หากมองให้เป็นเงินออม เราต้องเลือกทำเลที่ปล่อยเช่าง่าย มีความต้องการเช่าด้วย สิ่งสำคัญที่สุด ต้องรู้ว่ากลุ่มลูกค้าที่จะเช่าเป็นใคร ปล่อยเช่าได้ประมาณเท่าไร มีความคุ้มค่าหรือไม่

วัตถุประสงค์ซื้อเพื่อออมเงิน การซื้อเพื่อออมเงินไว้สำหรับขายต่อในอนาคตนั้นเป็นเรื่องของการลงทุนระยะยาว ดังนั้น ห้องที่ซื้อเพื่อออมเงินต้องเป็นห้องที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าอนาคตในอีก 3 ปีข้างหน้า หากว่าเราขายต่อ เราจะขายได้กำไร ไม่ขาดทุน หรืออย่างน้อยต้องได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากธนาคาร


จากปัจจัยทั้งหมดดังกล่าว เป็นหลักในการพิจารณาเลือกซื้อคอนโดฯ เบื้องต้นที่เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ แนะให้ลองนำไปใช้ เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกสิ่งที่ใช่ และได้สิ่งที่ชอบ อย่างรอบคอบที่สุด

“คนที่ต้องการซื้อคอนโดฯ ในช่วงนี้ต้องถามตัวเองก่อนว่าซื้อคอนโดฯ เพื่ออะไร ซื้อเพื่ออยู่อาศัย ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง ซื้อเพราะใกล้โรงเรียนลูก ซื้อเพื่อลงทุน ซื้อเพราะว่าถูก เมื่อตัดสินใจได้ว่าซื้อเพื่ออะไร ก็มาดูเงินในกระเป๋าว่ามีงบเท่าไหร่ ซื้อแล้วผ่อนเดือนเท่าไหร่ มีหนี้สินอย่างอื่นที่ต้องผ่อนอีกหรือไม่ รายได้เราเพียงพอที่จะผ่อนได้หรือไม่ หลังจากนั้นก็มาดูทำเล ชื่อเสียงผู้ประกอบการ ห้องที่เราอยากได้ ถ้ามีกำลังซื้อในช่วงนี้ก็ควรจะรีบซื้อเพราะช่วงนี้ถือว่าของถูกมาก” นางนลินรัตน์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น