วีซ่า ประกาศความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือ 10 ล้านธุรกิจขนาดย่อยทั่วเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้ร้านค้าท้องถิ่นสามารถผ่านพ้นจากวิกฤตโควิด-19 ไปได้ โดยวีซ่าได้มีหลากหลายโครงการและโซลูชันที่จะมาช่วยธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี - SME) ให้สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเปิดรับการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลที่เป็นที่ต้องการมากขึ้นในปัจจุบันกับความต้องการในการชำระเงินในรูปแบบไร้เงินสด ไม่ว่าจะผ่านทางร้านค้าออนไลน์ หรือหน้าร้านก็ตาม นอกจากนี้ วีซ่ายังได้ก่อตั้งสถาบันส่งเสริมเศรษฐกิจของวีซ่า (Visa Economic Empowerment Institute : VEEI) ที่เน้นประเด็นทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งรวมไปถึงความท้าท้ายของวิกฤตที่ส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอี และลดช่องว่างในการทำงานระหว่างเชื้อชาติและเพศ
นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้ว โควิด-19 ยังช่วยเร่งสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าในรูปแบบดิจิทัล เพราะผู้คนเริ่มหาวิธีการใหม่ๆ ในการชำระเงินเพื่อลดการสัมผัส ตลอดจนการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการรณรงค์อยู่บ้านหยุดเชื้อจึงทำให้มีการซื้อสินค้าออนไลน์มากกว่าในร้านค้า โดยพบว่าในเอเชียแปซิฟิก 41% ของผู้บริโภคมีการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซอย่างน้อย 5 ครั้งในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้ง 3 ใน 4 ของผู้บริโภคในภูมิภาคกล่าวว่า พวกเขาจะยังคงใช้วิธีการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลแทนที่จะกลับไปใช้เงินสด แม้ว่าวิกฤตในครั้งนี้จะผ่านพ้นไปแล้วก็ตามที
นายคริส คลาร์ก ประธานบริหารของวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก วีซ่าได้ออก 4 มาตรการในการส่งเสริมการค้าออนไลน์และการเติบโตทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ส่งเสริมธุรกิจให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล วีซ่าได้สร้างศูนย์รวมข้อมูลออนไลน์ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจะมีเครื่องมือต่างๆ รวมถึงข้อเสนอและข้อมูลจากพันธมิตรในการเริ่มต้นและดำเนินกิจการในรูปแบบดิจิทัลสำหรับธุรกิจร้านค้าขนาดเล็ก โดยวีซ่าได้ร่วมมือกับอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มชั้นนำ อย่าง Shopify และ Boutir ในการช่วยเหลือร้านค้าท้องถิ่นให้สามารถรับการชำระเงินในรูปแบบออนไลน์ และจะขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรระดับโลกในลำดับต่อไป
พร้อมกันนั้น จะกระตุ้นการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัล โดยแนะนำวิธีการรับการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ต้นทุนต่ำ รวมถึงโซลูชันที่สามารถลดระบบการทำงาน ณ จุดขาย และเปลี่ยนสมาร์ทโฟนของร้านค้าให้กลายเป็นจุดรับชำระเงิน โดยวีซ่าได้ร่วมกับพันธมิตรในการเปิดโซลูชันอย่าง Tap to Phone ผ่านสมาร์ทโฟนที่มาเลเซีย โดยจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก อย่างออสเตรเลีย ฮ่องกง อินเดีย ไต้หวัน และเวียดนาม เป็นลำดับต่อไป นอกจากนี้ วีซ่า ยังได้สนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถทำการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลสำหรับการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจ (B2B) ด้วยการชำระเงินในการจัดซื้อจัดจ้างในรูปแบบดิจิทัลผ่านบัตรเครดิต โดยวีซ่าได้รวบรวมข้อเสนอสุดพิเศษจากพันธมิตรมามอบให้แก่เอสเอ็มอีที่ใช้บัตรเครดิตเพื่อการทำธุรกิจของวีซ่า ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงแพลตฟอร์มบัญชีผ่านคลาวด์ การทำการตลาดในรูปแบบดิจิทัล และหลักสูตรสำหรับมืออาชีพ
รวมถึงการให้การสนับสนุนพื้นที่ในชุมชน ด้วยโครงการ Back to Business ของวีซ่า ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาร้านค้าที่ยังเปิดให้บริการในช่วงวิกฤต หรือภัยธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้เปิดให้ใช้บริการแล้วในรูปแบบออนไลน์ที่ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา และจะมีการขยายไปทั่วโลกในลำดับถัดไป ล่าสุด วีซ่าเปิดตัวโครงการ “Where You Shop Matters” ที่ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น โดยวีซ่าจะขยายโครงการนี้ไปยังตลาดเอเชียแปซิฟิกอื่นๆ เช่นฮ่องกง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ในอนาคต
และการพัฒนาจุดยืนและนโยบาย โดยสถาบันส่งเสริมเศรษฐกิจ ที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหา เจาะลึกการเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย และการเปลี่ยนแปลงช่องว่างของความแตกต่างทางเชื้อชาติและเพศ โดยโครงการหลักที่จะเกิดขึ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้าจะมุ่งเน้นในเรื่องของการฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สภาวะปกติภายหลังวิกฤต การเปลี่ยนแปลงในชุมชนเมือง การกำจัดช่องว่างด้านโอกาสในความเท่าเทียมกัน และข้อมูลเชิงลึกเพื่อเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจแบบอาชีพอิสระ (gig economy)
นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการในครั้งนี้ วีซ่าประเทศไทย ได้นำเอาความรู้ความสามารถที่มีอยู่มาช่วยเหลือพร้อมร่วมงานกับพันธมิตรฟินเทค เพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดย่อยและขนาดย่อมสามารถก้าวสู่การทำธุรกิจในรูปแบบดิจิทัลได้ โดยโครงการ Everyone Speaks Visa ที่เพิ่งเปิดตัวไปจะเข้ามาช่วยให้ธุรกิจไม่ว่าจะขนาดใดก็สามารถรับการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ทั้งรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัยได้ โดยวีซ่าได้ร่วมมือกับร้านค้าพันธมิตรทั่วประเทศในการเพิ่มจุดรับชำระเงินในรูปแบบคอนแทคเลส เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบันที่ผู้คนมองหาการชำระเงินแบบดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น