xs
xsm
sm
md
lg

ลลิลฯ เบรกเปิดโครงการใหม่ทำเล EEC ห่วง "อุตฯ-ท่องเที่ยว" ทรุดฉุดอสังหาฯ ฟื้นช้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายชูรัชฏ์ ชาครกุล
ลลิลฯ ประเมินหลังคลายล็อกดาวน์ กำลังซื้อเริ่มกลับมา ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการ ในกลุ่มตลาดแนวราบที่เป็นเรียลดีมานด์ที่เติบโตอยู่ พร้อมแตะเบรกครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ในพื้นที่อีอีซี ห่วงภาคอุตฯ และท่องเที่ยว ถูกกระทบหนัก กดภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวช้ากว่าพื้นที่ในกรุงเทพฯ พร้อมชูกลยุทธ์สู้วิกฤต บริหารสภาพคล่อง-หนี้สินต่อทุน-สต๊อกให้เหมาะสม

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า ยอมรับว่าช่วงการประกาศมาตรการล็อกดาวน์เฟสที่ 1 และ 2 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึมไปมาก ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และธุรกิจการบิน ก็ประสบปัญหา นักท่องเที่ยวชาวจีนลดหายไป การปิดสนามบินทำให้เครื่องบินต้องหยุดให้บริการมาอย่างน้อย 2 เดือนกว่า แต่อย่างไรก็ตาม การคลายมาตรการล็อกดาวน์ที่มากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเดือนพฤษภาคมปรับดีขึ้น ลูกค้ากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และเข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากขึ้น โดยสนใจโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย (เรียลดีมานด์)

"การทำธุรกิจในยุคโควิด-19 เราต้องแม่น เพราะในภาวะปัจจุบัน มีเดียมีจำนวนมาก ลูกค้ามีช่องทางเลือกมากขึ้น ทีมการตลาดจะต้องลงสำรวจพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาเป็นโปรดักต์ ทีมงานต้องทำการบ้าน ให้รู้จริง การนำเสนอสินค้าให้ลูกค้าที่พร้อมเข้าอยู่ หรือบางโครงการจะเหมาะสมกับลูกค้าที่ต้องผ่อนดาวน์ระยะหนึ่ง อย่างไรก็ดี ในครึ่งปีหลัง ต้องติดตามเรื่องโควิด-19 เป็นหลัก การเปิดประเทศต้องเกิดขึ้น จะหยุดการบินไปตลอดไม่ได้ อย่าลืมว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยอยู่ได้ด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่ต้องมอง คือ เปิดแล้ว ความปลอดภัยเป็นอย่างไรบ้าง อันนี้ เป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุด"

ทั้งนี้ ในเรื่องของเป้าหมายธุรกิจในปีนี้ นายชูรัชฏ์ กล่าวยืนยันว่า ปีนี้ยอดขายยังอยู่ที่ตัวเลข 6,200 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขสะสมถึงเดือนพฤษภาคม เดินมาได้ครึ่งทาง มียอดขาย 3,000 ล้านบาท และคาดว่าช่วง 7 เดือนที่เหลือ ตัวเลขการขายน่าจะอยู่ในกรอบของเป้าที่วางไว้ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยปกติจะเป็นหยุดช่วงสงกรานต์ แต่นี่เราหยุด 2 เดือนรับกับโควิด-19 โดยในเป้าการเปิดโครงการที่วางไว้ 9-10 โครงการ มูลค่าการขายประมาณ 6,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกเปิดไปได้แล้ว 5 โครงการแนวราบ มูลค่าโครงการ 3,600 ล้านบาท และช่วงหลังโควิด-19 จะเปิดอีก 2 โครงการ ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้ารอบันทึกเป็นรายได้ (แบ็กล็อก) ประมาณ 1,200-1,300 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าพร้อมโอนในสัดส่วน 60% และอีก 40% เป็นบ้านสั่งสร้าง แต่สามารถโอนบ้านให้ลูกค้าได้ภายใน 1-2 เดือน


สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กระทบหนักกว่าอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ เนื่องมาจากเหตุผล 1.ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือแม้แต่ภาคอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาจมีการย้ายฐานการผลิตไป ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบทั้งจากการปิดสนามบิน นักท่องเที่ยวที่ลดหายไปกว่า 40% ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

"โครงการใหม่ที่จะเปิดในทำเลอีอีซี อาจจะต้องรอประเมินสถานการณ์ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าก่อน เนื่องจากภาคอสังหาฯ ในพื้นที่อ่อนแรงมากที่สุด และคาดว่า การฟื้นตัวจะช้ากว่าภาคอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ส่วนความกังวลของแบงก์ต่อการปล่อยสินเชื่อนั้น เราต้องดูด้วยว่า แบงก์กังวลเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวลง ห่วง NPL ที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าลูกค้ารายใดที่มีความพร้อม แบงก์ก็ปล่อยสินเชื่อ แต่บางรายก็ต้องดูเป็นพิเศษ ซึ่งทางลลิลฯ ก็มีทีมไฟแนนซ์ที่จะช่วยลูกค้าในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ แต่บริษัทได้วางแผนและปรับตัวรับมือกับภาวะตลาดชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายการลงทุนอย่างระมัดระวัง พยายามรักษาสัดส่วนหนี้ต่อทุนไม่ให้เกิน 1 เท่า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.8 เท่า และในปีนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องของการบริหารจัดการกระแสเงินสด มีการบริหารสต๊อกอย่างเหมาะสม รองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้บริษัทฯ มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งที่จะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้" นายชูรัชฏ์ กล่าว


ล่าสุด บริษัทเปิด 2 โครงการแนวราบใหม่ที่เป็นเรือธงดีไซน์ใหม่ออกสู่ตลาด ได้แก่ โครงการลลิล ทาวน์ แลนซิโอ คริป บางนา-เทพารักษ์ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-6 ล้านบาท และ โครงการไลโอ บลิสซ์ บางนา-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมแบบใหม่ ระดับราคา 1.99 ล้านบาท ติดถนนหลักใจกลางย่านธุรกิจ มูลค่าโครงการรวม 1,800 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น