“ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” อ่วม หลังโควิด-19 ทุบกำไรจนกลายเป็นตัวเลขขาดทุนถึง 1.7 พันล้านบาท ผู้บริหารเร่งแผนจัดหาเงินทุนรวม 2.5 หมื่นล้านบาท รักษาสภาพคล่องทางการเงิน หลายฝ่ายเชื่อมั่นผ่านฉลุยจากศักยภาพทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่ง ขณะการแพร่ระบาดไวรัสยากหยุดยั้ง กดดันไตรมาส 2 ขาดทุนเพิ่ม รวมทั้งปีอาจสูงถึง 9 พันล้านบาท คาดโอกาสฟื้นคืนสภาพต้องรอถึงปี 2565 “โบรกเกอร์” ให้เต็มที่แค่ “ถือ หรือลดน้ำหนักลงทุน”
ต้องยอมรับว่ากลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 มากที่สุด หรือกล่าวได้ว่าได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสายการบิน สนามบิน รวมถึงกลุ่มโรงแรม จนทำให้บริษัทขนาดใหญ่อย่าง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากลที่ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งกล่าวได้ว่าแม้จะมีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดีเยี่ยมจนสร้างผลประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อปีที่ผ่านมา แต่สำหรับโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้น กลับทำให้ทุกธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบ จนไตรมาสแรกปี 2563 ประสบปัญหาขาดทุนสุทธิถึง 1.77 พันล้านบาท
สำหรับ MINT ถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มของนาย วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค รวมกันกว่า20%(ส่วนตัว,บริษัท ไมเนอร์ โฮลดิ้ง (ไทย) จำกัด และ บริษัท ไมเนอร์ บีเคเอช จำกัด) ดำเนินธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยในธุรกิจโรงแรม บริษัทดำเนินธุรกิจทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 535 แห่ง และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนลใน 57 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ
ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร พบว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,300 สาขา ใน 26 ประเทศ ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิตของบริษัทพบว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ชั้นนำมากมาย จึงมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรม 55% ธุรกิจอาหาร 38% และธุรกิจไลฟ์สไตล์ ประมาณ 7%แต่อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทุกธุรกิจในทุกประเทศที่บริษัทดำเนินกิจการประสบปัญหาแทบทั้งสิ้น
ปีที่ผ่านมา MINT ประกาศกำไรสุทธิ 1.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 137% จากปี 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 4.5 พันล้านบาท เป็นผลมาจากการรวมงบการเงินของเอ็นเอชโฮเทลกรุ๊ป ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และกำไรจากการขายสินทรัพย์
ทว่า ไตรมาสแรกปีนี้ที่แจ้งงบออกมา พบว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 1.77 พันล้านบาท เพราะรับผลกระทบการระบาดของโรค โควิด-19 ต่อทั้งสามธุรกิจของบริษัททั่วโลก และผลกระทบเชิงลบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS 16 ในเรื่องสัญญาเช่า โดยในไตรมาส 2/63 บริษัทเชื่อว่าผลการดำเนินงานจะได้รับผลกระทบที่เพิ่มมากขึ้นจากการปิดโรงแรมและร้านอาหารสำหรับการให้บริการนั่งทานในร้านชั่วคราว ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ล่าสุดเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น MINT ประกาศกลยุทธ์ จัดหาเงินทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนและฐานะทางการเงิน หลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 ทั่วโลก โดยดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้ผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้มั่นใจว่าบริษัทมีความสามารถในการปฏิบัติตามภาระผูกพัน และรักษาความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินโดยมุ่งมั่นในการรักษาสถานะเงินสด และการบริหารจัดการ สภาพคล่องและหนี้สินเป็นลำดับแรก ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) ของ MINT ยังได้ อนุมัติแผนการจัดหาเงินทุนจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุน การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนโดยการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering) และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือวอร์แรนต์ อายุ 3 ปี ซึ่งเตรียมพร้อมขอมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นประจำปีที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายน 2563
MINT คาดว่า โครงการเพิ่มทุนจะแล้วเสร็จในช่วงระหว่างปี 2563-2566 โดยการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนในประเทศ/ต่างประเทศจำนวนเทียบเท่า 1 หมื่นล้านบาท คาดเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 นี้ ส่วนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 3 ปีนี้เช่นเดียวกัน ขณะที่การออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพื่อจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 5 พันล้านบาท จะเกิดขึ้นภายหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนเสร็จสิ้น ซึ่งมีระยะเวลา 3 ปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิจะถูกกำหนดไว้ที่ราคาไม่สูงกว่าร้อยละ 10 ของราคาตลาดในช่วงต้นไตรมาสที่ 3/63 โดยราคาดังกล่าวไม่ได้บ่งบอกถึงราคาหุ้นในอนาคต แต่จะเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ MINT
ทั้งนี้ อัตราส่วนและราคาการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน รวมถึงอัตราส่วนการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิและราคาใช้สิทธิจะถูกกำหนดก่อนการออกตราสารดังกล่าว ขณะที่รายละเอียดในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะแสดงไว้ในการเปิดเผยสารสนเทศของบริษัทต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไตรมาส 1/63
ที่ผ่านมา MINT มีการลดกระแสเงินสดจ่ายในทั้งสามหน่วยธุรกิจและในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการการประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งประกอบด้วยในส่วนของเงินเดือน ค่าเช่า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ นอกจากนี้ ได้มีการระงับการจ่ายเงินปันผลและการลงทุนในสินทรัพย์บางส่วนเท่าที่จะสามารถทำได้ แม้ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทยังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่บริษัทได้มีการเตรียมการทดสอบภาวะวิกฤตและมีความมั่นใจว่าแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด
ขณะที่เดียวกัน ต่อไปในอนาคต เมืองต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่กรุงมาดริดถึงกรุงเทพ จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศ โดย MINT มีความพร้อมสำหรับการกลับมาดำเนินธุรกิจตามวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) ทั้งนี้ ในระยะยาว MINT ได้ใช้โอกาสในการปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งของความสามารถทางด้านดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทภายหลังจากการระบาดของโรค โควิด-19
“ดิลลิป ราชากาเรีย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า บริษัทมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่าแผนการจัดหาเงินทุนที่ครอบคลุมในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืน และมั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้ถือหุ้นใหญ่ในการจัดหาเงินทุนในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่ออนาคตของ MINT นอกจากนี้ด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยพื้นฐานของ MINT ในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีคุณภาพที่สั่งสมมาตั้งแต่ในอดีต เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E)จะกลับลงมาอยู่ที่ 1.3 เท่า ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขการกู้ยืมที่อยู่ที่ 1.75 เท่า ซึ่งการรักษาฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง และการปรับแผนของกลุ่มธุรกิจทั้ง 3 ของบริษัทให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลดค่าใช้จ่าย ลดเงินเดือนพนักงาน พักการปรับขึ้นเงินเดือน และให้พนักงานหยุดงานชั่วคราวโดยไม่รับเงินเดือน
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลพบว่า MINT มีหนี้ที่ต้องชำระภายใน 1 ปีจำนวน 2.67 หมื่นล้านบาท เฉพาะส่วนของหุ้นกู้ที่เตรียมจะครบกำหนดช่วง 3 ปี รวม 1.89 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 2563 อยู่ที่ 4 พันล้านบาท ปี 2564 อยู่ที่ 4.59 พันล้านบาท และปี 2565 อยู่ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินสดในมือพบว่าอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท และบริษัทต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจ 2.2 หมื่นล้านบาท จึงเป็นที่มาของการประกาศเพิ่มสภาพคล่อง ด้วยการเพิ่มทุนรอบใหม่ 1.03 พันล้านหุ้นและขอวงเงินออกหุ้นกู้อนาคต 2.5 หมื่นล้านบาท
จากแผนปรับตัวรับมือโควิด-19 ของ MINT ครั้งนี้ มีรายงานว่า บริษัทได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้ ในการขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ซึ่งทำให้บริษัทได้ตั้งเงื่อนไขเพื่อสร้างความมั่นใจกับเจ้าหนี้ ได้แก่ การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และจะต้องไม่ทำ M&A มากกว่า 3% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด รวมถึงไม่ก่อหนี้เพิ่มมากกว่า 1.5 แสนล้านบาท/ ไตรมาส ส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในช่วงครึ่งปีหลัง 3.6 พันล้านบาท MINT ได้มีการเจรจากับธนาคารพาณิชย์ในการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อนำมาชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด
ทำให้ภาพรวม การแก้ไขปัญหาของ MINT จะทำให้บริษัทมีกระสุนพอสู้กับวิกฤติใหญ่ทางเศรษฐกิจในรอบนี้ แต่ย่อมมีผลกระทบต่อมุมมองการลงทุนซึ่งการขาดสภาพคล่องและออกมาแก้ไขปัญหาหนี้ส่อให้เห็น *** แนวโน้มการขาดทุนครั้งใหญ่ ซึ่งคาดว่า จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/63 และจะยังไม่ฟื้นตัวจนถึงปลายปี โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่มีทั้งในประเทศและต่างประเทศยังไม่เห็นแนวโน้มฟื้นตัว เพราะหลายประเทศรวมทั้งไทยยังเฝ้าระวังการระบาดของไวรัส Covid-19 ระลอก 2 ที่อาจจะเกิดขึ้น ส่งผลต่อการเดินทางต่างประเทศลดลง การท่องเที่ยวติดลบชัดเจน และอาจจะลากยาวไปถึงปี 2565 จึงมีผล ทำให้ราคาหุ้นถูกปรับประมาณการ***
บล.ทิสโก้ จำกัด ประเมินทิศทางธุรกิจของ MINT ว่า ได้ปรับประมาณการปี2563 และครึ่งแรกปี 2564 โดยคำนึงถึงมูลค่าที่เหมาะสมลงหลังการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมของ NH Hotel ในประเทศสเปน น่าจะใช้เวลามากกว่าคาด เนื่องจากการปิดประเทศ และเงื่อนไขในการเปิดโรงแรมที่ลำบากของยุโรป รวมถึงปรับผลของการเพิ่มทุน
ทั้งนี้ MINT มองว่าการฟื้นตัวของจีนและเวียดนามเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจน และเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยในระยะสั้นมองว่าการฟื้นตัวจะมาจากโรงแรมในประเทศเป็นหลัก และอุปสงค์ในกลุ่มที่ฟื้นตัวเร็ว ทำให้บริษัทได้มีการหยุดแผนการลงทุน พร้อมลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง
“เราปรับประมาณการปีนี้ และครึ่งปีแรก2564 ลง 267% และ 31% เพื่อสะท้อนการดำเนินงานของ NH ที่อ่อนแอลง รวมถึงแผนการเพิ่มทุน 2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเงื่อนไขของหู้นกู้จะไม่เป็นปัญหาหากการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส3ปีนี้ เป็นต้นไป จึงแนะนำให้ “ถือ” โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 15.00 บาท โดยมีความเสี่ยงคือ 1) การฟื้นตัวของยุโรป 2) การผลิตวัคซีน 3) การลดค่าใช้จ่าย”
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ "ขาย" MINT ปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 16.50 บาท โดยมีมุมมองเป็นลบ แม้ว่า MINT จะมีการเพิ่มทุนและจะออก Perpetual Bond ซึ่งหากทำได้ทั้งหมดจะได้เงินมา 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายลงจากระดับ Net D/E ใน 1Q/2020 ที่ 1.61 เท่า
โดยสภาพคล่องยังน่าเป็นห่วงอยู่หากยังไม่ได้มีการเปิดโรงแรมเพราะค่าใช้จ่ายที่ไม่รวมค่าเสื่อมต่อเดือนในช่วงเมษายน-มิถุนายน อยู่สูงถึง 8.4 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2563 จะเห็นเป็นขาดทุนสุทธิที่ 9.2 พันล้านบาท และจะใช้เวลา 2 ปีกว่าจะเห็นกำไรปกติกลับมาที่ระดับเดียวกับปี 2562
สำหรับสถานการณ์ที่ยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนกำไรประมาณ 60% ยังดูมีความยืดเยื้อ และยังคงต้องรอความชัดเจนจากการเปิดใช้สนามบินทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม และมีความเสี่ยงจากการเพิ่มทุนและการออก Perpetual Bond ไม่ได้ตามที่ต้องการ โดยการออก Perpetual Bond ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้น่าจะต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่แพงมากขึ้นด้วย และยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของ Covid-19 ที่ยังไม่มียารักษา
ล่าสุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เสนอรัฐแจกคูปองส่วนลดที่พัก 50% คาดเริ่มเดือน ก.ค. 2563 โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจงกรอบเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ปลุกเศรษฐกิจ เร่งกระตุ้นการบริโภค-ท่องเที่ยว เผยรัฐอาจจัดแพ็กเกจไทยเที่ยวไทย โดยออกคูปองช่วยลดค่าที่พัก 40-50% โดยส่วนที่ลดให้ภาครัฐจะสนับสนุนเงินให้ในรูปแบบคูปอง โดยใช้ข้อมูลจากฐานภาษีมาเป็นส่วนลดให้เหมือนกับมาตรการไทยเที่ยวไทยที่เคยทำมาแล้วในส่วนนี้ คาดปลดล็อกการท่องเที่ยวในเดือนก.ค.นี้ และจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบวันที่ 7 ก.ค. 2563
ทั้งนี้ จึงมองเป็นบวกต่อมาตรการช่วยเหลือท่องเที่ยว และเชื่อว่าจะเห็นมาตรการจากภาครัฐที่จะเร่งเข้ามาช่วยเหลือภาคการท่องเที่ยว เพราะมีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) โดยเบื้องต้นกลุ่มโรงแรมจะมีการช่วยเหลือของภาครัฐในการให้ส่วนลดค่าที่พักสูงถึง 40-50% ส่วนนักท่องเที่ยวจะได้รับเงินลดหย่อนตามฐานภาษี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวในประเทศมีการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโรงแรมโดยตรง
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ให้คำแนะนำถือ พร้อมปรับราคาพื้นฐาน 19.00 บาท หลังเกิดผลขาดทุนจำนวนมากในไตรมาสแรกที่ผ่านมา และคาดว่าไตรมาส2/63 บริษัท จะยังมีผลขาดทุนจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากการปิดให้บริการโรงแรมชั่วคราวและการปิดเมืองไม่ให้ต่างประเทศเข้ามาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.63 ทีทยอยคลายล็อคดาวน์ แต่คาดว่าการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างช้าๆมากกว่า และล่าสุดได้มีการประกาศเพิ่มทุน การออกหุ้นกู้ไม่มีวันหมดอายุ (Perpetual Bond) และการออกวอร์แรนท์ MINT-W7ทำให้คงคำแนะนำ ถือ แต่ราคาพื้นฐานใหม่ปรับลงเป็น 19.00 บาท ได้มีการปรับเพิ่มผลขาดทุนสุทธิปีนี้อีก 60% เป็น 4.5 พันล้านบาท เทียบกับปี 62 มีกำไรสุทธิที่ 1.07 หมื่นล้านบาท 10.7 พันล้านบาท