นายกฯ โต้เอื้อเศรษฐี แค่ต้องการดูแลลูกจ้าง-พนักงานไม่ให้ตกงาน แจงไม่ได้แทรกแซงแบงก์ชาติ ปัดขวางตั้ง กมธ.วิสามัญสอบ พ.ร.ก.กู้เงิน ลั่นไม่เคยชมตัวเองแก้โควิดเก่ง เหน็บ ส.ส.ก้าวไกล “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”
วันนี้ (31 พ.ค.) หลังจากสมาชิกอภิปรายครบตามรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวสรุปโดยชี้แจงถึงข้อหาเอื้อประโยชน์ต่างๆ ว่าไม่เคยไปได้ประโยชน์อะไรกับใคร จากเศรษฐีอะไรต่างๆ เขาไม่เคยเสนอเงินให้รัฐบาลสักบาท แต่ตนต้องการให้ดูแลลูกจ้างพนักงานไม่ให้ว่างงาน นั่นคือสิ่งที่คาดหวัง หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ ก็ขอให้เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในเรื่องมาตรการชะลอภาระหนี้สินเดิม ทั้งเงินต้น ลดดอกเบี้ย ขยายเวลาการชำระหนี้ของประชาชน ผู้ประกอบการผ่านธนาคารต่างๆ ซึ่งธนาคารมี 2 ประเภท คือ ธนาคารรัฐกับธนาคารพาณิชย์ โดยอยู่ในกรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ตรงนี้รัฐบาลเข้าไปสั่งการอะไรเขาไม่ได้ทั้งสิ้น เงินทุกบาทในธนาคารพาณิชย์เป็นเงินของประชาชนที่ฝากไว้ทั้งสิ้น เราไปบังคับเขาไม่ได้ ต้องให้อำนาจบริหารจัดการตรงนั้นไป แต่จะทำความร่วมมือกันอย่างไรเป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วนเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินเพิ่มเติมของประชาชนและผู้ประกอบการ ต้องสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน ที่ผ่านมาอาจจะมีการเข้าไม่ถึง เราก็ต้องเห็นใจการคัดกรองเหล่านี้ ต้องคัดกรองคนที่มีความพร้อมก่อน ส่วนที่เหลือกำลังจัดกองทุนขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มีหนี้เสีย หรือไม่มีศักยภาพ
“เงินทุกเงินมีเจ้าของทั้งสิ้น ถ้าให้ไปแล้วไม่ได้กลับมาเลย ล้มละลายแล้วใครจะรับผิดชอบ ถ้าพูดแล้วไม่รับผิดชอบมันก็ได้ แต่ผมพูดแล้วต้องรับผิดชอบ มันจึงไม่ได้ ต้องทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่ให้มีปัญหาทางด้านกฎหมาย อยากให้ทุกคน ตอนนี้กำลังดูว่าเงินก้อนที่มีอยู่จะทำอย่างไร เอสเอ็มอีที่เข้าถึงไม่ได้ให้เข้าได้มากขึ้น ไม่ได้เอื้อประโยชน์รายใหญ่รายเล็ก อย่าไปคิดแบบนั้น ถ้าคิดแบบนั้นก็บริหารไม่ได้ ในการที่เราเตรียมมาตรการฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท เงินจำนวนนี้ถ้ามองดูแล้วเหมือนจะใหญ่โตมโหฬาร หอมหวาน ผมไม่เคยสบายใจ ไม่ว่าจะเงินเท่าไหร่ก็ตาม เพราะมันมีปัญหาแน่นอนในเรื่องการบริหารจัดการ อย่างที่ท่านเป็นห่วงก็ห่วงยิ่งกว่าท่าน เพราะผม ข้าราชการ พนักงาน ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนสบายใจ ช่วยกันดูแลติดตาม”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงเราจำเป็นต้องรักษาเครื่องยนต์เหล่านี้ อย่างน้อยก็เติมน้ำมันไปส่วนหนึ่งก่อน ถ้าจะเติมน้ำมันเต็มถังแต่ยังเติมไม่ได้ ก็เติมบางส่วนไปก่อนให้มันเดินไปได้ ให้กิจการมันดีขึ้น ตลาดต่างประเทศมีการเคลื่อนไหว มีการใช้จ่ายเงิน มีรายได้ดีขึ้น ตลาดเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราไม่ช่วยตรงนี้ เครื่องยนต์ดับไปตอนนี้ ไม่ให้อะไรเลย บอกเอาไปให้คนรวยหมด แล้วตนถามว่ามันจะเหลืออะไรในประเทศไทย
นายกฯ กล่าวว่า เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่สมาชิกเสนอให้มีการติดตามตรวจสอบการใช้เงินนั้น ตนยินดีให้มีการตรวจสอบทุกประการ หลายคนหาว่าตนจะไม่ให้ตรวจสอบ แต่ตนถือว่าเงินกู้ดังกล่าวคือเงินแผ่นดิน ต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ ไปดูแล้วกันที่มีการเสนอแผนงานมาจากข้างล่างว่ามีการทุจริตหรือไม่ ซึ่งก็ยังไม่ทุจริตเลย ไปดูว่าเขาเสนอมาถูกต้องหรือไม่ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนละเอียดมาตั้งแต่ต้นไม่อย่างนั้นเสนอขึ้นมาข้างบนไม่ได้ ต้องมีการคัดกรองขึ้นมา กว่าจะมาถึงคณะกรรมการคัดกรองมีหลายขั้นตอน จะได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย และไม่ได้มีเฉพาะข้าราชการ แต่ยังมีที่ปรึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานในการตรวจสอบเข้ามาร่วมตรงนี้ด้วย ยืนยันว่าต้องมีการตรวจสอบทุกขั้นตอน มีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินกู้เช่นเดียวกับการเบิกจ่ายงบประมาณปกติ องค์อิสระตามรัฐธรรมนูญสามารถตรวจสอบการใช้เงินกู้ดังกล่าวได้เช่นเดียวกับการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดิน ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ โดยจัดให้มีเว็บไซต์สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ติดตามการดำเนินการโครงการต่างๆ อะไรที่ยังไม่เกิดก็อย่าไปอ้างของเดิมเดี๋ยวมันจะไปกระทบกับใครบางคนด้วย ตนขอแค่นี้ ไม่อยากพูดอย่างอื่น
“เรื่องการจะตั้ง กมธ.วิสามัญเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องพูดคุยกันต่อไป ผมไม่ได้ไปคัดค้านอะไรสักอย่าง ผมยังตอบไม่ได้ตอนนั้นเพราะมันยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนตอนนั้น ไม่ใช่ไปพูดสิ่งที่มันยังไม่ได้มาถึง ก็เป็นเรื่องของสภาฯ สมาชิกพิจารณากัน”
นายกฯ กล่าวว่า การจะทำอะไรให้สำเร็จหรือมีเกียรติ มีอำนาจ ไม่ใช่ด้วยตัวเอง แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นยกย่อง เขาเชื่อมั่น เขาให้เกียรติ ตนไม่เคยชื่นชมตัวเองว่าเก่งว่าแก้ปัญหาโควิด-19 ได้ ไม่เคยพูด ไม่เคยพูดจริงๆ มันเกิดจากความร่วมมือของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งทหาร พลเรือน ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และสาธารณสุข ร่วมมือกัน ก็มีไม่ร่วมมืออยู่บ้าง ส่วนรัฐบาลทำหน้าที่อำนวยการ อำนวยความสะดวก จัดหาสิ่งของ เบี้ยเลี้ยง สิ่งตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ปฏิบัติงาน คำชื่นชมของนานาชาติที่เขาให้กับเรา ตนไม่เคยไปคุยโม้โอ้อวดใคร แต่เพราะประเทศต่างๆ เขาเห็นสถานการณ์โควิด-19 เราดีขึ้น
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนที่บอกว่างบประมาณด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาทที่บอกว่าน้อยเกินไป มันไม่เคยมีอย่างนี้อยู่แล้ว มันไม่เคยมีการอนุมัติเพิ่มการบรรจุข้าราชการสาธารณสุขอยู่แล้ว ทุกกระทรวงไม่เคยได้ แต่ถ้าอนุมัติไปทั้งหมดทีเดียว ปัญหางบประมาณตามมาทั้งเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ เราต้องค่อยๆ ทยอยไป นี่ถือว่าให้ประโยชน์ เพราะถือว่าให้เกียรติบุคลากรด้านสาธารณสุข เพราะถือว่ามีผลงานปรากฎ จะได้ตอบประชาชนและหน่วยงานอื่นได้
นายกฯ กล่าวว่า ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่น ไว้ใจตนและรัฐบาล เหมือนช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีใครไม่ชอบก็ตาม แต่ขอให้เราก้าวผ่านไปด้วยกัน ตนในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารขอยืนยันว่าจะบริหาราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้าน เหมาะสม โดยการสนับสนุนจากคณะกรรมการและที่ปรึกษาด้านต่างๆ ที่ตนตั้งขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายกฯ ชี้แจงเสร็จสิ้น นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ว่ารู้สึกว่าปล่อยให้นายกฯ ใช้กิริยา วาจาเสียดสีรุนแรงในสภา และตนรู้สึกว่านายกฯ เป็นนักการเมืองเหมือนกับตน เราเป็นนักการเมืองเสมอกัน แต่คำชี้แจงของนายกฯ หลายคำด้วยน้ำเสียงและกิริยาทั้งหมด ตนรู้สึกว่าเป็นทหารอยู่ในค่ายทหาร ฉะนั้นขอให้ประธานสภาฯ ควบคุมการประชุมอย่าปล่อยให้นายกฯ กระทำกับผู้แทนฯ เหมือนที่ผู้บังคับบัญชาทำกับพลทหารในค่ายทหาร ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นตอบโต้ว่า ตนนั่งอยู่ตรงนี้ ก็ฟังมาหลายคน จำได้ว่าเราเคยมีสุภาษิตหนึ่งซึ่งตนต้องระมัดระวังตรงนั้นให้ได้ คือคำว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ที่ผ่านมาไม่มีเลยหรือที่ตนพูดอย่างนี้ ที่ตนพูดแบบนี้ร้ายแรงมากเลยหรือ ตนไม่เข้าใจ ท่านก็ได้ยินทุกคน ตนไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับท่านอยู่แล้ว แต่เป็นห่วงคนรุ่นต่อไปว่าเด็กเยาวชนจะเป็นอย่างไรต่อไป ตนไม่ได้ไปพูดก้าวร้าวกับใคร พูดแต่เสียงดัง เน้นสาระ ถ้าท่านเป็นตนก็จะรู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง ตนไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกแล้ว
นายชวนแจงว่า ตามข้อบังคับที่ 93 ห้ามแสดงวาจาเสียดสีใส่ร้ายคนใด เท่าที่ฟังมาทั้งหมดก็มีสมาชิกอภิปราย แต่ก็เกือบไม่มีทักท้วงกันเลย แต่กรณีนายกฯ ตนฟังอย่างยุติธรรม ที่นายกฯ ได้กล่าวไปถือว่าเบากว่าที่พวกเราพูดถึงท่านเยอะเลย เพราะฉะนั้นไม่มีประเด็นที่ไม่เหมาะสมหรือขัดข้อบังคับ ดังนั้นการประท้วงไม่มีผล
นายชวนแจ้งที่ประชุมว่า การอภิปรายทั้ง 2 ฝ่าย และรัฐบาล ที่ตกลงใช้เวลา 48 ชั่วโมง ครม.และพรรคร่วมรัฐบาล 24 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน 24 ชั่วโมง แต่ฝ่ายค้านใช้เวลาไป 22 ชั่วโมง 35 นาที 40 วินาที เหลืออีก 1 ชั่วโมง 24 นาที 20 วินาที ฝ่ายรัฐบาลใช้เวลาไป 20 ชั่วโมง 32 นาที 46 วินาที เหลือเวลา 3 ชั่งโมง 27 นาที 14 วินาที แต่ถือว่ากระบวนการทุกอย่างจบแล้ว ต่อไปเป็นการลงมติ