บล.เออีซีแจงเหตุถูกระงับธุรกิจ หลัง NCR ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ ก.ล.ต.กำหนด หลังปรับความเสี่ยงหุ้นกู้ชั้นดีเป็น 100% เตรียมยื่นแผนแก้ปัญหาใน 30 วัน ทั้งกู้เงิน ขายหุ้น ลดพอร์ตหุ้นกู้ และเพิ่มทุน หวังดัน NC และ NCR กลับมาบวก ย้ำยังมีรายได้จากที่ปรึกษาทางการเงินตามสัญญาเดิม และไม่กระทบสินทรัพย์รวม ด้านสมาคม บล.ยัน NCR ของโบรกเกอร์ทั้งระบบยังแข็งแกร่ง ยันไม่ต้องออกเกณฑ์คุมเพราะเป็นปัญหาเฉพาะบริษัท
วานนี้ (26 พ.ค.) นายไต้ ซอง อี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เออีซี (AEC) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับหนังสือจากสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ ก.ล.ต. นธ.1433/2563 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 เพื่อแจ้งเรื่องการไม่ดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) ตามประกาศกำหนด จนเป็นเหตุให้บริษัทฯ ต้องระงับการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้จนกว่าบริษัทฯ จะแก้ไขปัญหาฐานะเงินกองทุนให้กลับมาเป็นปกติ
บริษัทฯ ขอชี้แจงสาเหตุที่ทำให้เงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) และอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เนื่องจากในการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนในสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับ NC ของบริษัทฯ จะต้องคำนวณ Large Exposure Risk - LER วิธีที่ 2 ตามประกาศที่ สธ. 50/2560 และ สธ.61/2562 เรื่องการคำนวณและรายงานการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ
แจงลงทุนหุ้นกู้ที่มี Investment Grade เว้น THAI ที่ถูกลดเครดิตกะทันหัน
บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในหุ้นกู้ THAI (ที่ถูกลด credit rating จาก A เป็น C อย่างกะทันหัน) และหุ้นกู้อื่นที่ถึงแม้จะเป็น Investment grade ที่สูงมากในระดับไม่ต่ำกว่า BBB ถึง AA ได้แก่ หุ้นกู้ PTTGC-SGP-BAM-BTS-EA-FPT ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีฐานะการเงินมั่นคง เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นกู้ TUC ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัท ทรูมูฟเอชยูนิเวอร์แซลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น สัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 100%) และหุ้นกู้ TBEV ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
แต่ด้วยการลงทุนในหุ้นกู้ข้างต้นมีมูลค่าในแต่ละรายการในสัดส่วนที่สูงเกินกว่าร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับ NC ของบริษัทฯ จึงเป็นเหตุให้บริษัทฯ ต้องคำนวณค่าความเสี่ยง LER วิธีที่ 2 โดยปรับค่าความเสี่ยงของหุ้นกู้ที่มีการลงทุนในสัดส่วนที่สูงเกินกว่าร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับ NC ของบริษัทฯ เป็น 100% ทำให้หุ้นกู้ดังกล่าวไม่สามารถนับเป็น liquid asset ตามหลักการ NC ได้ทั้งจำนวน ถึงแม้ว่าผู้ออกหุ้นกู้ดังกล่าวยังมีฐานะการเงินมั่นคง และมี credit rating ดีและยังคงคาดว่าจะได้รับการชำระหนี้คืน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับ NC และ NCR ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
เตรียมยื่นแผนแก้ปัญหาให้ ก.ล.ต.ใน 30 วัน
อย่างไรก็ดี บริษัทจะดำเนินการยื่นแผนต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ภายใน 30 วัน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาไว้ ดังนี้
แผนระยะสั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 มีมติให้ดำเนินการระดมทุนด้วยการกู้ยืมเงินด้อยสิทธิ การขายหุ้นสามัญที่บริษัทฯ ถือครองอยู่ และการลด Port การลงทุนในห้นกู้ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ
ส่วนแผนระยะยาว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและบุคคลโดยเฉพาะเจาะจง จำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งจะแล้วเสร็จกลางเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งจะทำให้ระดับ NC และ NCR กลับมาเป็นบวกและอยู่ในเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด และขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.ให้บริษัทกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติได้
สำหรับการออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ล้านบาทนั้น ในกรณีที่การออกหุ้นเพิ่มทุนไม่ทำให้ระดับ NC และ NCR อยู่ในระดับที่เป็นบวก หรือตามเกณฑ์ที่กำหนด บริษัทจะออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิให้มีมูลค่าเพียงพอที่จะทำให้ระดับ NC และ NCR เป็นบวก หรือตามเกณฑ์ที่กำหนด
เร่งโอนย้ายบัญชีลูกค้าภายใน 10 วัน
ทั้งนี้ ในระหว่างที่บริษัทฯ กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนนั้น จะมีผลกระทบดังนี้
1. ลูกค้าจะไม่สามารถเพิ่มสถานะการลงทุนในหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในทุกประเภทบัญชี บัญชีกองทุนส่วนบุคคล และบัญชีซื้อขายหน่วยลงทุน
2. บริษัทฯ จะดำเนินการโอนย้ายบัญชีและทรัพย์สินของลูกค้าภายในระยะเวลาตามที่เกณฑ์กำหนด ทั้งนี้ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของลูกค้า บริษัทจะดำเนินการโอนย้ายตามความประสงค์ของลูกค้าให้แล้วเสร็จภายใน 10 วันทำการ เว้นแต่จะได้รับการผ่อนผันระยะเวลาจากสำนักงาน ก.ล.ต. แต่หากมีความจำเป็นและสมควรเพื่อป้องกันมิให้มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าได้รับความเสียหาย
3. บริษัทฯ จะยังคงรับคำสั่งจากลูกค้าในการลดหรือปิดสถานะการลงทุนในหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้
4. ส่วนธุรกิจการเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย และธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้
5. ธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ที่ดำเนินงานมาก่อนการระงับการทำธุรกิจ บริษัทยังคงดำเนินการดูแลลูกค้าต่อไปได้
ผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ กล่าวคือ Q1/63 บริษัทมีรายได้รวม 34.41 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 15.31 ล้านบาท (44.49%), ค่าธรรมเนียมและบริการอื่น 10.24 ล้านบาท (29.76%), (เช่น รายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหุ้นกู้, รายได้ที่ปรึกษาทางการเงิน, รายได้กองทุนส่วนบุคคล, รายได้การให้ยืม/ยืมหลักทรัพย์, รายได้จากการแนะนำลงทุนตั๋วแลกเงิน, รายได้ค่านายหน้าในการซื้อขายหน่วยลงทุน), กำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุน, รายได้ดอกเบี้ย, รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
ยังมีรายได้จากที่ปรึกษาทางการเงินตามสัญญาเดิม
ทั้งนี้ ภายหลังถูกระงับการดำเนินธุรกิจบริษัทจะยังคงมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาทางการเงินจากสัญญาเดิมก่อนการระงับการทำธุรกิจ และรายได้ค่านายหน้าจากการที่ลูกค้าขายหลักทรัพย์เท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายจะลดลงจากค่าใช้จ่ายผันแปรจากการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ การหยุดประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท แม้ว่าจะมีการขาย Port ลงทุนที่เป็นหุ้นกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องตามข้างต้น
บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการตามแผนงานที่ยื่นต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ภายใน 90 วัน แต่อย่างไรก็ตาม แผนงานทั้งหมดบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการเพื่อให้เงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) และอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) อยู่ในระดับตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยเร็วที่สุด และขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.ให้กลับมาประกอบธุรกิจได้ตามปกติ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสีย บริษัทฯ จะรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานต่อผู้ลงทุนให้ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
สมาคม บล.ยัน NCR ของโบรกเกอร์ทั้งระบบยังแข็งแกร่ง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กล่าวว่า การดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยส่วนใหญ่ยังแข็งแกร่ง สะท้อนจากช่วงที่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์เกินแสนล้านบาทสามารถดำเนินการได้ตามปกติ ซึ่งกรณีที่ บล.รายหนึ่ง NCR ติดลบเกิดจากพอร์ตลงทุน ไม่ใช่ระบบหรือภาวะทางธุรกิจของอุตสาหกรรม
"คงไม่ได้มีมาตรการใหม่ๆ ออกมา เพราะไม่ใช่ปัญหาของระบบหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นในภาพใหญ่ของอุตสาหกรรม ซึ่งประเด็น NCR ปัจจุบันโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในระบบยังแข็งแรงดี ธุรกิจดำนินการได้ปกติแม้ยามที่วอลุ่มการซื้อขายพุ่งไปเกินแสนล้านบาทต่อวัน ประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับพอร์ตลงทุนของบริษัทนั้นๆ มากกว่า เพราะเราไม่ได้เห็นโบรกเกอร์ NCR ติดลบจากการซื้อขายหลักทรัพย์มานานมากแล้ว" ไพบูลย์กล่าว
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานคณะที่ปรึกษา สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) ระบุว่า โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มักจะไม่มีพอร์ตการลงทุนเพื่อผลตอบแทน เว้นแต่จะมีพอร์ตลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในโบรเกอร์ที่มีบริการ DW และ Block trade ซึ่งถือเป็นธุรกรรมปกติ ขณะที่พอร์ตการลงทุนประเภท Proprietary Trader จะมีระบบและกลไกอีกรูปแบบในการจัดการ และไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อ NCR
"ประเด็นที่เกิดขึ้นกับ บล.แห่งหนึ่งเป็นปัญหาเฉพาะตัว เพราะเป็นเรื่องการลงทุนของบริษัท ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างระมัดระวังกับความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนแบบนี้" นางภัทธีรากล่าว
สำหรับกรณี บล.ถูกระงับให้ดำเนินกิจการ เพราะ NCR ติดลบ ก็ต้องหาแนวทางมาแก้ไขตามกระบวนการเพื่อให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ส่วนนักลงทุนที่ใช้บริการ บล.ที่มีปัญหาสามารถขายหุ้นได้อย่างเดียว ไม่สามารถซื้อหุ้นเพิ่มได้ หากต้องการซื้อขายให้โอนบัญชีไป บล.อื่น ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนหนึ่งรายมักมีหลายบัญชี และกระบวนการโอนย้ายบัญชีก็สามารถทำได้รวดเร็ว หรือการเปิดบัญชีใหม่ก็สามารถทำได้รวดเร็วเช่นกันในปัจจุบัน โดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) จะช่วยอำนวยความสะดวกเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ ล่าสุด บล.เออีซี (AEC) ต้องระงับการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) และอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เนื่องจาก ก.ล.ต.ได้ปรับเพิ่มความเสี่ยงการลงทุนหุ้นกู้ของบริษัทจาก 75% เป็น 100% จากการลงทุนในหุ้นกู้ THAI (ที่ถูกลด credit rating จาก A เป็น C อย่างกะทันหัน)