ไทยพาณิชย์จัดระบบสาขา-พนักงานรองรับการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบให้ลูกค้าสามารถติดต่อพักชำระหนี้ได้เองในระบบออนไลน์ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น พบหลังผ่อนคลายล็อกดาวน์สาขาในห้างฯ ลูกค้ากลับมาใช้บริการในสัดส่วนที่ใกล้เคียงก่อนช่วงโควิด-19 ขณะที่สาขายังเป็นช่องทางนิยมสำหรับการฝากเงิน ชำระบิล และอัปเดตสมุดบัญชีของลูกค้า
นายวิฑูรย์ พรสกุลวานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจ Integrated Channels ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า จากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยเข้าสู่ช่วงสภาวะปกติ รวมถึงสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารคาดว่าในระยะถัดไป ลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กจะใช้บริการสาขาในเรื่องการขอคำปรึกษาการวางแผนทางการเงิน ตลอดจนการขอรับคำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น จึงได้เตรียมความพร้อมบุคลากรสาขาที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา รวมถึงได้พัฒนาระบบให้ลูกค้าสามารถติดต่อพักชำระหนี้ได้เองผ่านระบบออนไลน์อีกด้วย
สำหรับธุรกรรมการเงินทั่วไปนั้น พนักงานสาขาของธนาคารได้ให้บริการแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องพร้อมให้คำแนะนำในเรื่องการทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านโมบายแบงกิ้ง SCB Easy ซึ่งลูกค้าสามารถทำรายการต่างๆ ได้ด้วยตัวเองทุกที่ทุกเวลาโดยที่ไม่ต้องเดินทางมาสาขา เช่น การโอนเงิน การชำระค่าสินค้าและบริการ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว และไม่เสียค่าธรรมเนียม สำหรับลูกค้าใหม่ยังสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้ที่ 7-Eleven ซึ่งสามารถใช้บริการฝากถอนเงินได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม พบว่า ลูกค้าเริ่มกลับมาใช้บริการสาขาในห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงก่อนการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 สัดส่วนของลูกค้าที่มาใช้บริการสาขาในห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ 60% และสาขา Stand Alone 40% ขณะที่ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนเมษายน ลูกค้าบางส่วนเปลี่ยนไปใช้บริการสาขาในกลุ่ม Stand Alone มากยิ่งขึ้น เนื่องจากสะดวกกว่าและเป็นการหลีกเลี่ยงในการเข้าไปยังสถานที่ที่มีคนหมู่มาก อย่างไรก็ตาม จากการที่ลูกค้าหันมาใช้บริการธุรกรรมการเงินผ่านดิจิทัลแบงกิ้งมากขึ้น ประกอบกับมาตรการระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มีผลทำให้จำนวนปริมาณธุรกรรมของสาขาโดยรวมยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือก่อนที่มีการประกาศล็อกดาวน์
อย่างไรก็ดี ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่า อันดับหนึ่ง ยังคงเป็นการฝากเงิน รองลงมา คือ การชำระบิล (Bill Payment) และอันดับสาม คือ การอัปเดตสมุดบัญชีเงินฝาก ทั้งนี้ เมื่อแยกเป็นธุรกรรมในห้างสรรพสินค้านั้น การฝากเงินยังคงเป็นธุรกรรมอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ ชำระบิล (Bill Payment) ขณะที่สาขา Stand Alone นั้น ลูกค้ายังเน้นไปที่การฝากเงิน ตามมาด้วยการโอนเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งธุรกรรมการเงินดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้าที่จะมีการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 สะท้อนว่าสาขาของธนาคารยังคงมีความสำคัญต่อการทำธุรกรรมทางการเงินพื้นฐานของลูกค้าแม้ในยามมีโรคระบาด
นอกจากนี้ ธนาคารยังคงขอให้ลูกค้าปฏิบัติตามคำแนะนำตามมาตรฐานด้านสุขภาพอนามัยอย่างเคร่งครัด ซึ่งธนาคารได้ตั้งจุดสแกน QR Code เพื่อให้ลูกค้าเช็กอิน และเช็กเอาต์ ก่อนและหลังเข้าสาขาผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ และลูกค้าจะต้องตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารับบริการ รวมถึงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในระหว่างใช้บริการที่สาขา ทั้งนี้ ธนาคารขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในมาตรฐานการให้บริการและด้านสุขภาพอนามัยของสาขาธนาคารด้วยดีมาโดยตลอด
อนึ่ง ปัจจุบันสาขาของธนาคารทั่วประเทศ 908 แห่งพร้อมเปิดให้บริการแล้ว โดยแบ่งเป็นสาขาที่อยู่นอกห้างสรรพสินค้า (Stand Alone) 586 สาขา และสาขาในห้างสรรพสินค้า (In-Mall) 322 สาขา โดยพบว่า ภาพรวมของธุรกรรมทางการเงินต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมถึงการที่ธนาคารได้ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขภาพอนามัยอย่างเคร่งครัด