นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า บริษัท MQDC มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการที่ชัดเจน โดยเฉพาะการเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการประเภท Mixed-Use ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีมูลค่าโครงการสูง ซึ่งสามารถตอบโจทย์ได้ตรงความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดการตอบรับเป็นอย่างดี
ด้วยกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการร่วมกับ Global Partner ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในระดับโลก ทำให้โครงการที่เราพัฒนามีความโดดเด่น สามารถพัฒนาโครงการให้มีมาตรฐานในระดับโลก เป็นที่สนใจจากลูกค้าจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ โครงการทั้งหมดจึงได้รับผลตอบรับจากตลาดได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ โครงการ ICONSIAM ซึ่ง MQDC เป็นหุ้นส่วนในโครงการ ICONSIAM และเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมระดับ High-end คือ Magnolias Waterfront Residences ICONSIAM และ The Residences at Mandarin Oriental, Bangkok ที่บริหารโดยเครือ Mandarin Oriental ซึ่งได้กลายเป็น Iconic ของประเทศไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนั้น ยังมีโครงการ Magnolias Ratchadamri Boulevard ซึ่งก็มีโรงแรม Waldorf Astoria ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือระดับ Top สุดในเครือ Hilton ถือว่า exclusive มาก เพราะเป็น Waldorf Astoria Bangkok ที่แรกของ South East Asia.
อีกก้าวสำคัญของ MQDC คือการเปิดตัวโครงการเดอะ ฟอเรสเทียร์ (THEFORESTIAS) ที่มีมูลค่าโครงการถึง 125,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนาที่อยู่อาศัยจะขายเพียงความคุ้มค่า ทำเล ความสะดวกสบาย คงจะไม่เพียงพอ โดยเฉพาะหลังจากวิกฤตโควิด-19 ต้องคิดไปถึงคุณภาพชีวิตจนถึงสุขภาพ และความสุขของผู้อยู่อาศัย เพราะผู้คนจะพิถีพิถันในการดำเนินชีวิตมากขึ้น แนวคิดของ THE FORESTIAS คือ “เมืองคู่ป่า” ที่แรกในโลก สิ่งนี้เป็นครั้งแรกในโลกที่ผืนป่าขนาดใหญ่ถูกนำมาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมือง เพื่อนำธรรมชาติกลับเข้าสู่ชุมชนและพื้นที่ที่เป็นเมือง อีกทั้งโครงการ THEFORESTIAS เป็นการดำเนินโครงการตามปรัชญาของ MQDC ที่มุ่งเน้นเรื่องสร้างสรรค์โครงการที่ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นตามแนวคิด ‘For All Well - Being’
ในโครงการ THEFORESTIAS จึงถูกพัฒนา แบบ Mixed-Use Lifestyle ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ สถานศึกษา อาคารนวัตกรรม พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้และสร้างสรรค์ของครอบครัว ที่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ทุกกลุ่ม ได้แก่ คอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘Whizdom’ กลุ่มคอนโดมิเนียมแบรนด์ ‘Mulberry Grove’ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘Mulberry Grove Villas’ กลุ่มที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘The Aspen Tree’ และยังมีที่อยู่อาศัยและโรงแรมจากแบรนด์ระดับโลก คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยแบรนด์ ‘Six Senses’ โรงแรมแบรนด์ ‘Six Senses’ และอื่นๆ
“เราตั้งใจที่จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่ให้ความสำคัญต่อการยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมนี้ให้ไปสู่คุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีขึ้น ‘For All Well-Being’ โดยเราให้ความสำคัญต่อการค้นคว้าวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยร่วมกับพาร์ตเนอร์ระดับโลก เพื่อหาปัจจัยที่จะสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้คนมีความสุข ซึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่ MQDC ทำอยู่จากผลงานวิจัยและศึกษา สอดคล้องต่อวิถีชีวิตแบบ New Normal หลังโควิด-19 ที่คนหันมาใส่ใจในรายละเอียดกับการใช้ชีวิตมากขึ้น” นายวิสิษฐ์ กล่าว
เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 สิ่งแรกที่ MQDC คำนึงถึงคือ ความปลอดภัยของลูกบ้านในทุกโครงการและสมาชิกองค์กรของเราทุกคน MQDC ได้ดำเนินการจัดตั้งมาตรการเพื่อสร้างความปลอดภัยและอุ่นใจให้แก่ทุกคน มีทั้งมาตรการดูแลลูกบ้าน มาตรการดูแลสมาชิกองค์กร รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่โครงการ และในส่วนของสำนักงานและสำนักงานขายโครงการของ MQDC มีมาตรการในการทำความสะอาดตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และยังมีมาตรการในการดูแลพันธมิตรคู่ค้าของเราด้วย เช่น เจ้าหน้าที่งานก่อสร้าง เราได้ออกกฎเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องทำงานแบบ Work From Home ทางผู้บริหารสูงสุดของ MQDC อย่าง น.ส.ทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิคี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ก็มีวิสัยทัศน์ในเรื่องการ Work Anywhere มานานแล้ว คือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพนักงานก็สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ ทำให้การทำงานของ MQDC มีระบบและกระบวนการทำงานรองรับการทำงานแบบ Work From Home เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ต้องมีการ Lockdown บริษัทจึงไม่ต้องปรับตัวและไม่ได้รับผลกระทบมากนักในเรื่องนี้
อีกเรื่องที่มุ่งแน้น คือ การบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และ MQDC ยังคงมุ่งมั่นเน้นการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องคุณภาพและการสร้างมูลค่า ถือเป็น DNA ที่อยู่ในทุกโครงการของ MQDC อยู่แล้ว
นอกจาก MQDC ได้มีพาร์ตเนอร์ระดับโลกที่ศึกษาและวิจัยด้านการอยู่อาศัยที่มีความสุขแล้ว ทางเรายังได้จัดตั้งศูนย์วิจัย 2 ศูนย์ คือ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา FutureTales Lab โดยมี ดร.การดี เลียวไพโรจน์ มาเป็นที่ปรึกษาที่ดูแลโครงการนี้ โดยการหาข้อมูลจากทั่วโลกเพื่อมาประมวลแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต โดยมองไปถึงอีก 40 ปีข้างหน้า และแม้แต่จากวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ ทาง FutureTales Lab ก็ได้มีการออกงานวิเคราะห์ออกมาในเรื่อง ชีวิตหลังโควิด-19 ที่จะมีการเปลี่ยนไปจากเดิม โดยประเด็นหนึ่งคือความคิดด้านการซื้อที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่อยู่แต่ในเมือง โดยยึดการเดินทางแนวทางใกล้รถไฟฟ้าเป็นปัจจัย แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการทำงานในอนาคต สามารถทำงานที่บ้านได้ จึงจะปรับแนวคิดเป็นบ้านนอกเมือง แต่มีพื้นที่มากขึ้น มีสวน มีธรรมชาติ มีการปรับเปลี่ยนบ้านพักตากอากาศมาใช้อาศัยประจำแทน THE FORESTIAS ได้มีการวางแนวทางไว้ตามนี้มาแต่ต้น
อีกศูนย์วิจัยในกลุ่มของ MQDC คือศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) นำโดย รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ MQDC ที่ต้องการเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยมีการวิจัยและพัฒนาเป็นพื้นฐานของแนวคิดในมิติต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยของ MQDC ผลงานวิจัยที่เราศึกษาและค้นคว้าขึ้น ไม่เพียงเพื่อนำมาใช้เฉพาะกับโครงการต่างๆขององค์กรเท่านั้น แต่ยังพร้อมเปิดพื้นที่วิจัยนี้ให้แก่ทุกคน ทุกองค์กรที่สนใจด้านการพัฒนาและก่อสร้างอย่างยั่งยืน เสมือนห้องค้นคว้าของประชาชน บุคคลภายนอกได้เข้ามาเรียนรู้ นำไปประยุกต์ใช้จริง เพื่อยกมาตรฐานความเป็นอยู่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมต่างๆ
เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ให้แก่เมืองสาธารณชนด้วย เพื่อตอกย้ำการคิด ‘For All Well-Being’ เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป
แม้เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 MQDC ยังมุ่งเดินหน้าต่อด้วยความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว และเชื่อว่า รัฐบาลยังคงผลักดันในเกิดเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การปรับแผนงานโดยส่วนใหญ่จะเป็นการปรับแผนระยะสั้นมากกว่าแผนระยะยาว เช่น การเปิดตัวโครงการใหญ่ก็จะชะลอไปเปิดต้นปีหน้า แต่การเปิดขายโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันคงดำเนินต่อไปจากผลงานของรัฐบาลและสาธารณสุขไทยที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และความร่วมมือร่วมใจ ความมีวินัยของคนไทย ที่ได้แสดงให้ชาวโลกประจักษ์ รวมถึงความมีน้ำใจ ความแบ่งปันของคนไทย เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยให้ประเทศไทยจะเป็นที่น่าที่ลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์โควิด-19 สำหรับในการเลือกลงทุนในประเทศใดของนักลงทุนต่างชาติ คือความปลอดภัย และระบบสาธารณสุข
"MQDC ของเราก็เคยผ่านปัญหาในสมัยวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาแล้ว ทำให้เราบริหารงานด้วยความระมัดระวังมาตลอดเวลา ดังนั้น ปัญหาจากวิกฤตในโควิด-19 ในครั้งนี้จึงไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเดินหน้าต่อ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นมุมมองของ MQDC ต่อการทำธุรกิจ โดยมีการคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินชีวิต ซึ่งก็สอดคล้องกับชีวิตแบบ New Normal จากนี้ไป" นายวิสิษฐ์ กล่าว