โฆษกรัฐบาลแจงตลอดระยะเวลา 6 ปี รัฐบาลมุ่งทำงานแก้ปัญหาให้แก่ประชาชน ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ย้ำต้องการความสามัคคี ก้าวพ้นวิกฤต
วันนี้ (24 พ.ค.) ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีที่ฝ่ายค้านกล่าวโจมตีการทำงานของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตลอดระยะเวลา 6 ปีว่า นายกรัฐมนตรีย้ำอยู่เสมอถึงความจำเป็นในการเข้ามาบริหารประเทศเพื่อหยุดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้แก้ไขปัญหาที่สะสมมานาน ภารกิจหลักคือการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร ผ่านโครงการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะเดียวกัน ได้ดำเนินโครงการพัฒนาประเทศ ทั้งการขยายโครงข่ายด้านคมนาคม การขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายทั่วกรุงเทพฯ กว่า 160 กิโลเมตร รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพื่อความสะดวกในอนาคต และโครงการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ทำให้ไทยถูก “ใบเหลือง” จากทางสหภาพยุโรป (อียู) รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาที่สะสมมานานหลายด้าน ทั้งการจดทะเบียนเรือประมง แก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยการเดินหน้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนสามารถปลดใบเหลืองได้ รวมถึงการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ถือเป็นมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องโดยการทำงานแบบบูรณาการของทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านออกมาโจมตีรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าล้มเหลวนั้น หากมองภาพรวมของเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 จะเห็นได้ว่าเกิดการชะลอตัว แต่สำหรับประเทศไทยยังได้รับการกล่าวขวัญจากนานาประเทศว่าเป็นประเทศที่ดำเนินการมาตรการได้ดีในการปกป้องการแพร่ระบาด และจากผลสำรวจฯ ประชาชนส่วนใหญ่พอใจผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ส่วนในด้านการลงทุนประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจจากทั้งหมด 73 ประเทศ ถือได้ว่าต่างประเทศให้การยอมรับแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย
โฆษกรัฐบาลย้ำ ช่วงเวลานี้ประเทศต้องการความสามัคคี ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน จึงอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันทำงานเพื่อประชาชน และประเทศชาติ ขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ใช่เวลาที่ออกมาสร้างความขัดแย้ง หวังผลทางการเมือง