ผู้จัดการรายวัน360- เสี่ยใหญ่สหพัฒน์ ย้ำ โควิด19 ส่งผลกระทบหนักหนาสาหัสกว่า วิกฤติต้มยำกุ้ง 10 เท่า เพราะพ่นพิษใส่หมดทั้งธุรกิจและชีวิตคน ไม่เลือกหน้า แนะทางออกฟื้นเศรษฐกิจไทย พร้อมเร่งปรับตัวสู้วิกฤต
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและไทยในขณะนี้ว่า วิกฤตจากโควิด19ครั้งนี้มีความรุนแรงมากกว่าวิกฤติยุคต้มยำกุ้งในอดีตมากกว่า 10 เท่า เนื่องจากวิกฤตต้มยำกุ้งส่งผลกระทบเฉพาะภาคธุรกิจ บริษัทต่างๆของเอกชน ขณะที่โควิด ส่งผลกระทบไปหมดทั่วโลกทั้งภาคธุรกิจ บริษัท ภาครัฐบาล ประชาชน และที่สำคัญกระทบต่อชีวิตด้วย หากควบคุมไม่ดีจะพังกันไปหมด
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้นนี้ โอกาสที่ประเทศไทยจะกลับมาดีขึ้นหรือเหมือนเดิมนั้นจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการเมืองก็มีส่วน หากมีการเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจใหม่ก็จะทำให้ทุกอย่างสะดุดอีก ซึ่งตัวเองมองว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ทำดีแล้วเดินถูกทางแล้วในการแก้ไขปัญหาต่างๆ
“ตัวอย่างเช่นในเรื่องของการใช้นโยบาย 4.0 ตรงนี้ทำให้เรื่องการแจกเงินให้กับคนกว่า 14 ล้านคน เป็นไปด้วยความรวดเร็ว ผ่านเทคโนโลยีต่างๆและการใช้บิ๊กดาต้าเข้ามาช่วยด้วยทำให้ช่วยลดความเดือดร้อนของคนในช่วงโควิดได้เร็วขึ้น หากเป็นการเอาเงินเข้าแบงก์แบบปกติ หรือมารับด้วยตัวเองคงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี เป็นต้น”
ขณะที่ในเรื่องของค่าเงินบาทนั้น หากรักษาค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่ 35 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐก็อาจจะใช้เวลา 1ปี หรือถ้าค่าเงินเท่ากับช่วงนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลาถึง 3 ปีก็เป็นไปได้
รวมไปถึงปัญหาความขัดแย้งของมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก อย่างเช่น อเมริกากับจีน จะมีความรุนแรงมากขึ้น
หากมองถึงธุรกิจของเครือสหพัฒน์เองกับวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่า ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เรามีหลายธุรกิจ บางกลุ่มก็มียอดขายที่ตกลงมาก เช่น เท็กซ์ไทล พวกเสือ้ผ้า รองเท้า แฟชั่น เครื่องหนัง เป็นต้น แต่ส่วนที่ไปได้ดีก็พวก อาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ซึ่งโดยรวมแล้วสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ไม่ดี ก็ทำให้รายได้รวมของทั้งเครือยังตกประมาณ 10-20% ส่วนกำไรก็ตกประมาณ 20%
สาเหตุหลักเพราะเรามีการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายจึงสามารถที่จะประคองตัวได้ รวมทั้งนับตั้งแต่วิกฤตต้มย้ำกุ้งเป็นต้นมา เครือสหพัฒน์ได้ปรับแนวทางด้านการลงทุนใหม่โดยจะเน้นไปที่การใช้เงินตัวเองในการลงทุนมากขึ้น ลดการพึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินลง ให้ลงทุนภายใต้ความสามารถของตัวเองมีมากก็ลงทุนมาก มีน้อยก็ลงทุนน้อย จึงทำให้เราไม่เดือดร้อนมากนัก จากเดิมที่ก่อนหน้าวิกฤติต้มยำกุ้งมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินมาก จึงทำให้สถานะทางการเงินตอนนี้ยังพอมีความสามารถในการพยุงธุรกิจโดยรวมไปได้อย่างน้อยอีก 1 ปี
“สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือปัญหาว่าโควิด จะจบลงเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ถือเป็นบทเรียนที่ดีเพราะทำให้ทุกคนได้หันมามองตัวเอง เพราะถ้าหากใครที่มีความอึดมาก มีความสามารถมากก็จะต่อสู้ได้ และก็เป็นโอกาสในการเดินหน้าต่อไปได้ด้วย หากมองในมุมของประเทศไทย ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนหน้านี้ต่างชาติหลายประเทศอาจจะมองประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังไม่พัฒนามาก ยังไม่ล้ำสมัย แต่จากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้น ทำให้เขารู้จักเราในมุมมองที่ดีมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสาธารณสุขที่เราสามารถรับมือกับโควิด-19 ได้ดี จะทำให้เรากลายเป็นศูนย์กลางในอาเซียนได้ และโควิดทำให้หลายๆอย่างในไทยต้องทำการเซ็ทซีโร่กันใหม่” นายบุณยสิทธิ์ ย้ำ
พร้อมกับให้ความเห็นว่า จากนี้คงมีแนวโน้มของธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ที่อาจจะถอนการลงทุนจากจีนโดยเฉพาะทุนจากอเมริกา อีกทั้งจีนเองก็มีความเข้มแข็งมากขึ้นในภาคการผลิตอุตสาหกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ จึงไม่ค่อยสนใจอุตสาหกรรมจากต่างประเทศมากนัก ตรงนี้ก็ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยเราที่จะตอบรับกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ในการเตรียมรับมือกับธุรกิจที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาที่ไทยได้ หลายโครงการที่รัฐบาลทำมาก็ดี เช่น อีอีซีหรือโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศภาคตะวันออก
การทำธุรกิจในยุคจากนี้ไป เป้าหมายสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสร้างการเติบโตด้านรายได้มากกว่าปีที่ผ่านมามากน้อยเท่าไร แต่ต้องคำนึงว่าจะทำธุรกิจอย่างไรให้มีความมั่นคงมากกว่า ซึ่งเครือสหพัฒส์เองก็ต้องปรับแนวทางการลงทุน โดยธุรกิจอะไรตามที่มีโอกาสมีทางออกก็จะขยายตัวต่อไปเช่น กลุ่มอาหาร กลุ่มสินค้าส่วนตัวในชีวิตประจำวัน หรือกลุ่มสินค้าที่ส่งออก แต่ในส่วนของธุรกิจที่ไม่มีทางออกหรือมีปัญหาในตลาดก็จะลดความสำคัญลงหรือลดขนาดธุรกิจลง เช่น แฟชั่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า เป็นต้น
ส่วนแนวนโยบายการลงทุนของเครือสหพัฒน์จากนี้จะขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่าที่โอกาสมากกว่า ส่วนออนไลน์ถือว่าน่าสนใจตลาดเติบโตมากเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป .