ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC SCB) ระบุจากการที่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2563 หดตัวที่ -1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) นั้น นับว่าได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคแล้ว (technical recession) หลัง GDP แบบ % เทียบไตรมาสต่อไตรมาส หรือ QOQ sa หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และมีแนวโน้มการหดตัวที่น่าจะรุนแรงขึ้นในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 รวมถึงการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและมีความเสี่ยงด้านต่ำค่อนข้างมาก EIC SCB จึงยังคงมุมมองการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps ในไตรมาสที่ 2 นี้ และมีโอกาสค่อนข้างสูงที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในการประชุมวันที่ 20 พ.ค. ขณะที่ทาง EIC SCB จะมีการทบทวนตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ EIC SCB คาดเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวมากสุดในช่วงไตรมาส 2 จากมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ทั่วโลก โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีมาตรการภาครัฐและมาตรการเปิดเมืองบางส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงสำคัญคือหากมีการกลับมาระบาดของ COVID-19 ในระดับที่น่ากังวล ก็อาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวเพิ่มเติมได้
สำหรับเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 63 ที่หดตัว -1.8% นั้น ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก COVID-19 ผ่านภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าเป็นสำคัญ สังเกตได้จากภาคการผลิตด้านโรงแรมและภัตตาคารที่หดตัวไปกว่า -24.1%YOY ขณะที่ด้านการส่งออก แม้ในภาพรวมจะสามารถขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสแรก แต่การขยายตัวส่วนใหญ่มาจากการส่งออกทองคำที่จะไม่ถูกนับเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยหากหักทองคำ มูลค่าการส่งออกจะหดตัว ซึ่งส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมลดลง -2.7%YOY อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกได้รับผลบวกจากการบริโภคสินค้าจำเป็น (Non-discretionary items) ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกักตุนสินค้าก่อนที่จะมีการปิดเมือง นอกจากนี้ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในบ้านและ work from home ก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เฟอร์นิเจอร์ และการสื่อสาร (ค่าอินเทอร์เน็ต) เป็นต้น
ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ บนสมมติฐานสำคัญว่าจะต้องไม่มีการระบาดอีกรอบของ COVID-19 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มฟื้นตัวจากช่วงไตรมาส 2 (%QoQ sa เป็นบวก) แต่หากคำนวณเทียบกับปีก่อนหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวทั้งปี 63 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่เม็ดเงินจากมาตรการภาครัฐจะมีส่วนอย่างมากในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยมาตรการที่จะมีผลต่อภาคเศรษฐกิจปีนี้คือ พ.ร.ก.กู้เงินในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1) วงเงินสำหรับช่วยเหลือรายได้ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบและเกษตรกรวงเงินกว่า 5.55 แสนล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินบางส่วนไปแล้วตามนโยบายช่วยเหลือเงินผู้ได้รับผลกระทบเดือนละ 5 พันบาทต่อคน เป็นเวลา 3 เดือน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศช่วยเหลือเกษตรกรในจำนวนเงินเท่ากันที่ 5 พันบาทต่อคน ในระยะเวลา 3 เดือน และ 2) วงเงินสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมอีก 4 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินจำนวน 1 ล้านล้านบาท จะไม่ได้เข้าสู่เศรษฐกิจปีนี้ทั้งหมด แต่จะทยอยเข้าพยุงเศรษฐกิจในช่วงปัจจุบันจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า ขึ้นอยู่กับแนวนโยบายของรัฐบาล ซึ่งต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปถึงขนาดเม็ดเงินและรายละเอียดนโยบายที่จะมีการจัดทำในระยะต่อไป