xs
xsm
sm
md
lg

บิวตี้ คอมมูนิตี้ เผยผลประกอบการ Q1/63 รับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



BEAUTY เผยผลประกอบการ Q1/63 รับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอ ภาครัฐสั่งปิดสาขาชั่วคราวเกือบ 300 สาขา ส่งผลรายได้พลาดเป้าลดลงเหลือ 270.32 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 39.68 ล้านบาท เร่งปรับแผนสู้โควิดด้วยการบริหารจัดการทั้งระบบ ควบคุมค่าใช้จ่ายเข้มงวด ตลาดในประเทศชูกลยุทธ์ O2O ออนไลน์-ออฟไลน์ พัฒนาโมเดลใหม่เพิ่มช่องทางการขาย บิวตี้ออนไลน์ชอป และตัวแทนจำหน่าย ออกสินค้าใหม่มาร์จิ้นสูงปั๊มยอดขาย ส่วนตลาดต่างประเทศ เน้นเพิ่มยอดขายในกลุ่มประเทศที่คลายล็อกดาวน์ มั่นใจกระแสเงินสดแกร่ง สามารถฝ่าวิกฤตได้

นายแพทย์ สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/63 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 270.32 ล้านบาท ลดลง 278.42 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 548.74 ล้านบาท หรือลดลง 50.74% และมีขาดทุนสุทธิ 39.68 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.55 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วง ม.ค. 63 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและสงครามการค้า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง การจับจ่ายชะลอตัว บรรยากาศการจับจ่ายชะลอ มีผลจากเหตุการณ์รุนแรงในห้างสรรพสินค้า และผลกระทบสูงสุดช่วง ก.พ. 63 จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในประเทศจีน ส่งผลต่อยอดขายต่างประเทศอย่างมีนัย รวมถึงการประกาศมาตรการปิดห้างสรรพสินค้าและปิดประเทศ (Lockdown) มี.ค. 63 ทำให้บริษัทต้องปิดร้านค้าปลีกชั่วคราวเกือบ 300 สาขาทั่วประเทศ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของจำนวนสาขาทั้งหมด ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่อ่อนตัวลง นอกจากนี้ บริษัทเล็งเห็นผลกระทบในระยะยาวจึงมีมาตรการลดความเสี่ยงในอนาคต โดยในไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์หลายแนวทางเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัว เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จำนวน 18.46 ล้านบาท ซึ่งรับรู้ภายใต้ต้นทุนในการจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าว ได้แก่

1. ค่าชดเชยจากปรับฐานกำลังคนและลดค่าใช้จ่ายของบุคคลากรที่เกิดจากโครงการสมัครใจลาออก รับรู้ในงบกำไรขาดทุน 12.71 ล้านบาท

2. ค่าใช้จ่ายจากการตัดจำหน่ายและด้อยค่าสินทรัพย์ของสาขา 5.75 ล้านบาท ตามแนวทางการปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการทำกำไร และได้รับผลกระทบจากนโยบายปิดศูนย์การค้าต่างๆ ตามประกาศของรัฐบาลจากสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะเพิ่มความคล่องตัว ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวต่อไป และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต

อย่างไรก็ตาม บริษัทเร่งปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ โดยกำหนดนโยบายเพื่อฝ่าวิกฤต กู้ยอดขาย โดยสรุปกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจและแผนดำเนินงานจะมุ่งเน้นในด้านหลักๆ ประกอบด้วย

1. บริหารจัดการต้นทุนทุกด้าน ควบคุมค่าใช้จ่าย บริษัทมีมาตรการลดต้นทุนชัดเจน โดยปรับลดทั้งต้นทุนคงที่และสัดส่วนของต้นทุนผันแปรต่อรายได้รวม ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้ อีกทั้งตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น และมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด รวมถึงปรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร และการตลาด การโฆษณาให้เหมาะสม ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวได้ถูกนําไปใช้ในทุกหน่วยธุรกิจเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด

2. ตลาดในประเทศเร่งยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์และสาขา บริษัทคาดว่าโอกาสธุรกิจจะกลับมาหลังการปลดล็อกดาวน์ ซึ่งจะสามารถเปิดสาขาร้านค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าได้ตามปกติ พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ที่หลากหลาย เพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้าควบคู่กัน โดยสามารถซื้อขายผ่านเว็บไซต์ของบริษัท อีคอมเมิร์ซและระบบแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ชั้นนำต่างๆ อีกทั้งพัฒนาโมเดลการขายใหม่ อาทิ บิวตี้ออนไลน์ชอป พนักงานขายหน้าร้านสามารถขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โดยมีระบบสนับสนุนรองรับ สามารถสนองตอบลูกค้าสั่งซื้อผ่านออนไลน์ได้ทันที หรือกล่าวได้ว่าในแต่ละสาขาจะมีช่องทางการสั่งซื้อสินค้าทั้งหน้าร้านสาขา (Offline Store) และผ่านระบบออนไลน์ได้ทั้ง 2 รูปแบบ

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย โดยใช้กลยุทธ์ O2O ออฟไลน์และออนไลน์ผสานเข้าด้วยกัน จากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ช่องทางจำหน่ายออนไลน์มียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 250% โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้กับบุคคล (Personal Care) และกลุ่มสินค้าสุขภาพ (Health Concerned Products)

3. ตลาดต่างประเทศ โฟกัสช่องทางจำหน่ายกลุ่มประเทศคลายล็อกดาวน์ กลุ่มประเทศในเขต (South East Asia) เช่น กัมพูชา เวียดนาม พม่า และมาเลเซีย แม้จะมีคำสั่งซื้อบ้างแต่ยังติดเรื่องระบบการขนส่ง การปิดด่านผ่านทาง คาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะสั้นเพราะสินค้าไทยและสินค้า BEAUTY ยังคงมีความต้องการหลังสถานการณ์คลี่คลาย อีกทั้งบริษัทประสานงานอย่างใกล้ชิดกับตัวแทนจำหน่าย สนับสนุนด้านการตลาดและสินค้าให้ต่อเนื่องเพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจตามสถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนต่อเนื่อง

สำหรับประเทศจีน แม้ว่าจะประกาศยกเลิกการล็อกดาวน์แล้ว แต่คำสั่งซื้อยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ เนื่องจากยังต้องอาศัยการปรับตัวทั้งระบบ ปัจจุบันเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาบ้างแล้วหลังจากเปิดเมืองแต่อยู่ในระดับเพียง 10-20% เท่านั้น ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจอาจจะต้องใช้เวลาไม่สามารถกลับมา 100% ได้ทันที ธุรกิจจากนี้จึงอยู่ในช่วงประคองตัว โดยคาดว่าปลายไตรมาส 3/63 จะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากยอดขายและกำลังซื้อที่ฟื้นตัว ทั้งในประเทศจีนและประเทศในการปกครอง เช่น ฮ่องกง อีกทั้งบริษัทมีการปรับแผนออกสินค้าใหม่ที่มีกำไรดีมาชดเชยยอดขายที่ลดลง รวมถึงการร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศจีนพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ BEAUTY ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 2-3 ต่อเนื่อง และคาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีจากยอดขายและกำลังซื้อที่ฟื้นตัวปลายไตรมาส 3/63 อย่างไรก็ตาม บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดมีสภาพคล่องสามารถบริหารจัดการธุรกิจและนำมาปรับแผนการดำเนินงานทั้งระบบการค้า สร้างช่องทางจำหน่ายใหม่ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าสามารถพัฒนาธุรกิจให้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นและผ่านพ้นวิกฤตไปได้” นพ.สุวินกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น