บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) วิเคราะห์หุ้น บมจ.การบินไทย ว่า หากมองในไตรมาสแรกปีนี้ เห็นว่า ผลประกอบการโดยรวมของ THAI จะลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อนและจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงราว 30% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ขณะที่ cabin factor จะปรับลดลงเหลือ 70% เทียบกับเป้าหมาย 80% ในฤดูกาลท่องเที่ยว ดังนั้น ยังคงมองลบกับธุรกิจสายการบินในครึ่งปีแรก2563
เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารลดลงจากการระบาดของ COVID-19 ขณะเดียวกันการแข่งขันที่คาดว่าจะเข้มข้นในช่วงที่เกิดโรคระบาด รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง นอกจากนี้มองว่าประมาณการกำไรยังมี downside จาก การแพร่ระบาดของ COVID-19 ออกไปในวงกว้างขึ้น
และด้วยฐานะการเงินอ่อนแอก่อนหน้านี้ ผู้บริหารพยายามจะพลิกผลการดำเนินงานให้เป็นบวกในปีนี้ แต่ดูเหมือนจะยากเสียแล้วเพราะธุรกิจการบินจะถูกกระทบจากโรคระบาด ในระยะสั้น บริษัทพยายามควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายโดยการปรับลดเงินเดือนผู้บริหาร รวมทั้งปรับลดต้นทุนต่อเที่ยวบิน และปรับลดจำนวนเที่ยวบินตามสถานการณ์ นอกจากนี้ยังกังวลถึงฐานะการเงินของบริษัท โดยมี net D/E เท่ากับ 12.5 เท่า ณ สิ้นปี 2562 (เพิ่มขึ้นจาก 7.4 เท่า ณ สิ้นปี 2561) เมื่อพิจารณาแนวโน้มครึ่งปีแรก 2563 คาดว่าฐานะการเงินอ่อนแอลงไปอีก
ก่อนหน้านี้ THAI ขาดทุนสุทธิ 922 ล้านบาทในไตรมาส4/62 ดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ แต่หากไม่รวมกำไรพิเศษ 4.99 พันล้านบาท (จากการปรับภาระหนี้ค่าธรรมเนียมสนามบิน กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และกำไรจากการปรับสัดส่วนการลงทุน) บริษัทจะมีผลขาดทุนปกติ 5.91 พันล้านบาท (ลดลงจากที่ขาดทุน 7.38 พันล้านบาทในไตรมาส4/61) และ 6.16 พันล้านบาทในไตรมาส3/62) โดยยอดขายอยู่ที่ 4.61 หมื่นล้านบาท ลดลง8.3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 34.0% เพิ่มขึ้นจาก 31.2% ในไตรมาส4/61
ทำให้โดยรวมมองว่าผลประกอบการจากธุรกิจหลักใปี 2562 ยังคงอ่อนแอ โดยมีผลขาดทุนปกติถึง 1.61 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากขาดทุนปกติ 9.08 พันล้านบาทในปี 2561 เพราะถูกกระทบจากอัตราการเติบโตที่ลดลงของยอดขาย ตามอุปสงค์การเดินทางที่ลดลงของธุรกิจสายการบิน นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจการบินก็ยังคงเข้มข้นเหมือนเดิม ส่งผลให้ yield ผู้โดยสารลดลง 6.8% YoY เหลือ 2.04/RPK แม้ระยะยาว บริษัทกำหนดแผน "Transformation 2020" ซึ่งจะเน้นที่การเพิ่มรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน และสร้างผลการดำเนินงานที่ดีในอนาคต
ดังนั้นจากมุมมองที่เป็น “ลบ” ยังคงคำแนะนำขาย และให้ราคาเป้าหมายที่ 4.70 บาท (และยังอาจมี downside อีก) โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาเสถียภาพทางการเมืองรอบใหม่ของไทย หรือ เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สำหรับ THAI ต้องไปคาดหวังจะกลับมาฟื้นตัวได้ปี 64 ส่วนปีนี้ปรับขาดทุนเป็น 35 % หรือคาดว่าขาดทุน 2.1 หมื่นล้านบาท และปี 2564 จะพลิกกลับมีกำไร 5.8 พันล้านบาท ภายใต้กรอบเวลาประเมินผลกระทบตามเดิม 6 เดือน แต่กำหนดช่วง ไตรมาส 2/63 ทุกรายจะหยุดบินต่างประเทศ 100 % และลดการบินในประเทศ ราว 20 % โดยไตรมาส 3/63 คาดว่าจะยังปิดเส้นทางต่างประเทศ 50 % ปิดในประเทศ 20 % จึงพร้อมแนะนำลงทุนน้อยกว่าตลาด และไม่มีตัวเลือกลงทุนในกลุ่มนี้
โดยสรุป จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับธุรกิจสายการเงิน และศักยภาพของ “การบินไทย” ทำให้พอสรุปได้ว่า แม้จะ มีความเป็นไปได้สูงที่กระทรงการคลังยังจะอุ้มธุรกิจของ THAI ต่อไป แต่ด้วยภาพรวมธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ขณะที่การดำเนินธุรกิจของบริษัทพบจุดอ่อนจำนวนมาก และเมื่อรวมกับสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 จึงพอสรุปได้ว่า ไม่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนหุ้นสายการบินในช่วงนี้ โดยเฉพาะ THAI ที่มีปัญหาทั้งจากภายในและภายนอกกดดันอย่างหนัก และยังไม่เห็นหนทางแห่งการฟื้นตัว