KBank Private Banking แนะจัดพอร์ตช่วงตลาดการเงินโลกผันผวนหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พอร์ตหลักยึดหลักกระจายความเสี่ยง พอร์ตเสริมลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เพิ่มทองคำ และเพิ่มการถือสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสดประมาณ 5-11%
นายแซมมี่ ชาร์ Chief Economist จาก Lombard Odier Geneva มองว่าหนทางที่วิกฤตโรคโควิด-19 จะดำเนินและจุดจบนั้น แบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีฐาน (Base case) การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกสามารถควบคุมได้ภายในครึ่งปีแรกของปี จากมาตรการกักกันตัวที่ทั่วโลกบังคับใช้อยู่ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง 2020 และคาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ (Pre-COVID19) ได้ภายในสิ้นปี 2021
ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จากทั้งรัฐบาล และธนาคารกลางทั่วโลกจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อหลายๆ ประเทศกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศจะต้องเผชิญกับงบประมาณขาดดุล และระดับหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้น แต่ทุกประเทศรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ควรต้องทำ และเมื่อสถานการณ์ดูดีขึ้น รัฐบาลต่างๆ จะสามารถลดงบประมาณขาดดุลลงดังที่เคยเกิดขึ้น 10 ปีหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
และกรณีเลวร้าย (Worst case) การแพร่ระบาดไม่สามารถควบคุมได้ จนเกิดการแพร่ระบาดกลับมาในเอเชียระลอก 2 ส่งผลให้มาตรการกักกันตัว และปิดเมืองดำเนินต่อเนื่อง กิจกรรมทางธุรกิจยังอ่อนแรง ไม่สามารถเปิดเศรษฐกิจได้ แทนที่จะเป็นภาวะช็อกเพียงชั่วคราวตามกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะถดถอยระยะยาว
ด้าน น.ส.ศิริพร สุวรรณการ Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย ให้คำแนะนำในการจัดสรรพอร์ตการลงทุนจากการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง KBank Private Banking ได้ปรับคำแนะนำในพอร์ต K-Alpha ให้อยู่ในโหมดระมัดระวัง มาตั้งแต่ปี 2019 ที่ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นภายใต้เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงท้ายวัฏจักรของการเติบโต หรือ Late cycle โดยแบ่งเป็น
พอร์ตหลัก หรือ CORE ที่มีกลไกกระจายความเสี่ยงอย่างดี ด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบ Risk-based Allocation ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ความเสี่ยงในสินทรัพย์เสี่ยงพุ่งขึ้นสูงมาก ทำให้พอร์ตหลักลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น หันมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ รวมทั้งลดอัตราทด หรือ Leverage ลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลขาดทุนน้อยกว่าพอร์ตการลงทุนแบบดั้งเดิม
ส่วนพอร์ตเสริม หรือ Satellites ที่ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เพิ่มทองคำ รวมทั้งเพิ่มการถือสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสดจำนวนหนึ่ง คือประมาณ 5-11% แล้วแต่ประเภทความเสี่ยงของพอร์ต โดยปัจจุบันเราเลือกลงทุนเฉพาะหุ้น จีน A Share ที่มีกลไกควบคุมความเสี่ยง รวมถึงหุ้นในธุรกิจ Megatrend เช่น เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ พลังงานแห่งอนาคต และการจัดการคุณภาพดินและน้ำ เป็นต้น กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่กระจายความเสี่ยงในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ตราสารหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐ ของผู้ออกที่ในภูมิภาคเอเชีย และสินทรัพย์ที่เน้นให้ผลตอบแทนไม่สอดคล้องต่อตลาด (Uncorrelated) อย่างทองคำ รวมถึงกลยุทธ์ Long/Short ตราสารหนี้ และอัตราแลกเปลี่ยน
