เมืองไทยแคปปิตอลระบุไม่เคยคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด เผยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. สามารถคิดดอกเบี้ยได้ถึงร้อยละ 28 แต่ในความเป็นจริงคิดต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าว ส่วนเรื่องยึดทรัพย์และนำไปขายทอดตลาดทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดทุกประการ
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด(มหาชน) (MTC) เปิดเผยถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาขอความร่วมมือตรวจสอบที่บริษัททั้ง 3 แห่งในวันที่ 20 มีนาคม 2563 ว่าเป็นการขอความร่วมมือเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการคำนวณดอกเบี้ย หลักเกณฑ์ในการยึดทรัพย์ และนำทรัพย์ที่ยึดไปขายทอดตลาด ตามข้อร้องเรียนของลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันไปฟ้องดีเอสไอที่เคยร้องเรียนบริษัทมาแล้ว ซึ่งทางบริษัทได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ สามารถตอบข้อซักถามทั้งหมดได้ว่าบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เนื่องด้วย MTC อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่องของสินเชื่อสามารถที่จะคิดดอกเบี้ยได้ถึงร้อยละ 28 ต่อปี และบริษัทฯ มีใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจครบถ้วน และบริษัทฯ ไม่ได้ถูกแจ้งความดำเนินคดี แต่อย่างใด
"ทางดีเอสไอเข้ามาสอบถามข้อมูลเรื่องการคิดดอกเบี้ยว่าทำไมบริษัทถึงคิดดอกเบี้ยรถจักรยานยนต์ร้อยละ 20 ซึ่งพนักงานได้แจ้งไปว่าการดำเนินธุรกิจในส่วนดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับของแบงก์ชาติที่อนุญาตให้คิดดอกเบี้ยได้ถึงร้อยละ 28 ซึ่งในความเป็นจริงเราก็คิดต่ำกว่าเกณฑ์มาก ส่วนเรื่องของการยึดทรัพย์และนำไปขายทอดตลาด ก็ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ จนกระทั่งท้ายที่สุดเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็จำเป็นต้องยึดทรัพย์และนำมาขายทอดตลาด ซึ่งถือเป็นการทำงานตามขั้นตอนปกติ
ทั้งนี้ MTC ถือเป็นผู้นำตลาดที่คิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ และนาโนไฟแนนซ์ที่ต่ำที่สุดในระบบของประเทศไทย และการดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงความมีมาตรฐานในการดำเนินงานด้วยความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาลในการบริหารธุรกิจ
นายชูชาติกล่าวต่อถึงกรณีที่ทางการออกมาขอให้ผู้ประกอบการช่วยลูกหนี้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า MTC ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทุกสาขาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกค้า โดยลดค่าผ่อนชำระต่องวดลงเหลือ 70% เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา และจากมาตรการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2563 อย่างมีนัยสำคัญ หากแต่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่บริษัทฯ จะได้รับในระยะยาวทั้งในแง่ของการรักษาคุณภาพของสินทรัพย์ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายของบริษัทฯ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถฝ่าฟันวิกฤตโลกวันนี้ไปด้วยกัน