ทริสประเมินแบงก์-นอนแบงก์ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดโควิด 19 ทั้งด้านรายได้และคุณภาพสินทรัพย์ แต่ยังคงมีสภาพคล่องที่เพียงพอ และยังคงแนวโน้มอันดับเครดิตที่ระดับเดิม รอประเมินสถานการณ์
บริษัท ทริส เรทติ้ง ระบุ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 (COVID-19) ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรงไปทั่วโลก โดยผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไทยได้ยกระดับสู่ความรุนแรงและกระทบต่อธุรกิจทุกภาคส่วนซึ่งรวมถึงสถาบันการเงิน ในขณะนี้การประเมินผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยยังไม่มีสัญญาณว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เมื่อใด อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งได้ทำการประเมินธุรกิจรายภาคในเบื้องต้นเพื่อคาดคะเนถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินที่ทริสเรทติ้งทำการจัดอันดับเครดิตซึ่งรวมทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank Financial Institution -- NBFI)
โดยในขณะนี้ ทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สำหรับธนาคารพาณิชย์ของไทย แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่รายได้ของธนาคารพาณิชย์อาจจะได้รับแรงกดดันและคุณภาพสินทรัพย์น่าจะอ่อนแอลง แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าผลกระทบในด้านลบที่อาจจะเพิ่มขึ้นนั้นยังไม่น่าจะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคารดังกล่าว
แม้ว่าความกังวลของทริสเรทติ้งเน้นไปที่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่น่าจะปรับตัวลดลง และการตั้งสำรองที่สูงขึ้น และทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวอาจจะได้รับการบรรเทาลงบางส่วนด้วยมาตรการผ่อนคลายต่างๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศออกมา ในมุมมองขอทริสเรทติ้งเห็นว่ามาตรการของ ธปท. น่าจะช่วยลดภาระของทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้เป็นการชั่วคราวเพื่อให้เวลาในการฟื้นฟูปัญหาด้านการเงิน ทริสเรทติ้งมองว่ามาตรการผ่อนคลายดังกล่าวมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สถาบันการเงินต่างต้องเผชิญกับความกดดันอยู่แล้วจากการที่ต้องเริ่มนำมาตรฐานบัญชีใหม่คือ TFRS9 มาปรับใช้ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการทดสอบผลกระทบสำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตแสดงให้เห็นว่าการตั้งสำรองยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมากก่อนที่จะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคาร
สำหรับ NBFI นั้นทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ ด้วยเช่นกันเนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตยังอยู่ในระดับปานกลางแม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงเนื่องจากการที่เงินทุนบางส่วนมีแหล่งที่มาจากตลาดทุนซึ่งในขณะนี้ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นก็ตาม
จากผลการประเมินในเบื้องต้นและผลการสำรวจ NBFI ที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตทั้งหมด พบว่าบริษัทส่วนใหญ่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์มากเพียงพอที่จะใช้ในการรีไฟแนนซ์หรือชำระหุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้าได้ นอกจากนี้ หลายบริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้นที่มีความแข็งแกร่งอีกด้วย
จากการประเมินรายภาคอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริหารหนี้เสีย (Distressed Asset Management) น่าจะได้รับผลกระทบจากการที่กระแสเงินสดจากการเก็บหนี้น่าจะลดลง ในขณะที่ธุรกิจสินเชื่อลีสซิ่ง (Leasing) และเช่าซื้อ (Hire Purchase) อาจจะได้รับผลกระทบมากกว่าในเชิงของปริมาณสินเชื่อที่จะหดตัวลง
สำหรับธุรกิจบัตรเครดิต (Credit Card) สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นหลักประกัน (Title Loan) นั้น กระแสเงินสดที่ลดลงจากการปฏิบัติตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของ ธปท. น่าจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม ปริมาณสินเชื่อน่าจะยังคงไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากความต้องการสินเชื่อประเภทนี้มักจะสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแอ
บริษัท ทริส เรทติ้ง ระบุ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 (COVID-19) ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรงไปทั่วโลก โดยผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศไทยได้ยกระดับสู่ความรุนแรงและกระทบต่อธุรกิจทุกภาคส่วนซึ่งรวมถึงสถาบันการเงิน ในขณะนี้การประเมินผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยยังไม่มีสัญญาณว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้เมื่อใด อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งได้ทำการประเมินธุรกิจรายภาคในเบื้องต้นเพื่อคาดคะเนถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินที่ทริสเรทติ้งทำการจัดอันดับเครดิตซึ่งรวมทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank Financial Institution -- NBFI)
โดยในขณะนี้ ทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สำหรับธนาคารพาณิชย์ของไทย แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่รายได้ของธนาคารพาณิชย์อาจจะได้รับแรงกดดันและคุณภาพสินทรัพย์น่าจะอ่อนแอลง แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าผลกระทบในด้านลบที่อาจจะเพิ่มขึ้นนั้นยังไม่น่าจะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคารดังกล่าว
แม้ว่าความกังวลของทริสเรทติ้งเน้นไปที่แนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่น่าจะปรับตัวลดลง และการตั้งสำรองที่สูงขึ้น และทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวอาจจะได้รับการบรรเทาลงบางส่วนด้วยมาตรการผ่อนคลายต่างๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศออกมา ในมุมมองขอทริสเรทติ้งเห็นว่ามาตรการของ ธปท. น่าจะช่วยลดภาระของทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้เป็นการชั่วคราวเพื่อให้เวลาในการฟื้นฟูปัญหาด้านการเงิน ทริสเรทติ้งมองว่ามาตรการผ่อนคลายดังกล่าวมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สถาบันการเงินต่างต้องเผชิญกับความกดดันอยู่แล้วจากการที่ต้องเริ่มนำมาตรฐานบัญชีใหม่คือ TFRS9 มาปรับใช้ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการทดสอบผลกระทบสำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตแสดงให้เห็นว่าการตั้งสำรองยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกมากก่อนที่จะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคาร
สำหรับ NBFI นั้นทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ ด้วยเช่นกันเนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตยังอยู่ในระดับปานกลางแม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงเนื่องจากการที่เงินทุนบางส่วนมีแหล่งที่มาจากตลาดทุนซึ่งในขณะนี้ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นก็ตาม
จากผลการประเมินในเบื้องต้นและผลการสำรวจ NBFI ที่ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตทั้งหมด พบว่าบริษัทส่วนใหญ่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์มากเพียงพอที่จะใช้ในการรีไฟแนนซ์หรือชำระหุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้าได้ นอกจากนี้ หลายบริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้นที่มีความแข็งแกร่งอีกด้วย
จากการประเมินรายภาคอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริหารหนี้เสีย (Distressed Asset Management) น่าจะได้รับผลกระทบจากการที่กระแสเงินสดจากการเก็บหนี้น่าจะลดลง ในขณะที่ธุรกิจสินเชื่อลีสซิ่ง (Leasing) และเช่าซื้อ (Hire Purchase) อาจจะได้รับผลกระทบมากกว่าในเชิงของปริมาณสินเชื่อที่จะหดตัวลง
สำหรับธุรกิจบัตรเครดิต (Credit Card) สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นหลักประกัน (Title Loan) นั้น กระแสเงินสดที่ลดลงจากการปฏิบัติตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของ ธปท. น่าจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม ปริมาณสินเชื่อน่าจะยังคงไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากความต้องการสินเชื่อประเภทนี้มักจะสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจอ่อนแอ