โบรกเกอร์ หั่นเป้ากำไรปี 63/64 ของ KTC-AEONTS ลงเฉลี่ยปีละ 7.1% และ 8.9% ตามลำดับ เซ่นไวรัสโควิด-19 ทำเศรษฐกิจทรุด กดยอดสินเชื่อวูบ - NPLพุ่ง แนะนำโยกมาลงทุน BAM แทน เหตุอัพไซต์เหลือเพียบ - ปันผลดี
บทวิจัยจาก บล.หยวนต้า เปิดเผยว่า หลังจากมีข่าวภาพรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเดือน ม.ค.-ก.พ. ปี 2563 ทั้งเฟิร์สช้อยส์, KTC และบัตรอิออน พบว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์มีทิศทางลดลงจากปีก่อน ตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงแต่และบริษัทเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อส่วนบุคคลกับลูกค้ารายใหม่ ทำให้ หยวนต้า ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 2563/64 ของ KTC และ AEONTS ลงเฉลี่ยปีละ 7.1% และ 8.9% ตามลำดับ
ทั้งนี้สะท้อนจากอัตราเติบโตของสินเชื่อลดลงจากเดิม จากที่บริษัทเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น หลังเห็นสัญญาณการขอปรับโครงสร้างของลูกหนี้มากขึ้น อีกทั้งภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ เป็น Model Base ที่อ่อนไหวต่อภาวะ เศรษฐกิจ ทำให้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวและยังมีโอกาสที่ตัวเลขจะแย่ลงต่อเนื่อง จากทั้งภัยแล้ง และไวรัส COVID-19ซึ่งคาดส่งผลให้การตั้งสำรองของแบบจำลองดังกล่าวสูงขึ้น
รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่คาดเร่งตัวขึ้น หลักๆ เป็นผลจากการเพิ่มโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดยอดใช้จ่าย และการให้ Incentive กับพนักงานติดตามหนี้เพื่อควบคุมหนี้เสียของบริษัท ทั้งนี้ภายใต้ประมาณการใหม่คาดว่าปี 2563 KTC และ AEONTS จะมีกำไรสุทธิ 5,866 ลบ. โต 6.2%YoY และ 4,225 ลบ. โต 6.5%YoY ตามลำดับ
หั่นราคาเป้าหมาย KTC เหลือ 38 บ. AEONTS เหลือ 207 บ.
อย่างไรก็ดี ได้ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2563 ของ KTC และ AEONTS ลงเหลือ 38 บาทและ 207 บาท หากเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันมองว่า AEONTS มีความน่าสนใจมากกว่า KTC ในแง่ Valuation ที่ต่ำกว่า ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของทั้ง 2 บริษัทคาดใกล้เคียงกัน แต่ในภาพใหญ่มองกลุ่มสินเชื่อเพื่อการบริโภคจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจไปอีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนของทั้ง 2 ตัวลดลงไปมากเมื่อเทียบกับตัวอื่นภายในกลุ่ม ได้แก่ SAWAD และ MTC ที่เป็นสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่เป็นสินเชื่อมีหลักประกัน และให้ LTV ค่อนข้างต่ำ รวมถึง BAM ที่เป็นธุรกิจบริหารหนี้ NPL และ NPA ซึ่งจะได้ประโยชน์ในระยะยาวจากการเข้าซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงินในราคาที่ต่ำลง
ดังนั้น แนะนำ BAM เป็น Top Pick ของกลุ่ม หลังราคาหุ้นปรับลงมาแรงจนกลับมามี Upside 32.7% และคาดจะมีการประกาศเงินปันผลที่ 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Div.Yield 4.4% นอกจากนี้หาก กนง. มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม จะช่วยคลายความกังวลต่อต้นทุนทางการเงิน หลังถูกปรับลด Credit Rating ในช่วงที่ผ่านมา