เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ กำไรสุทธิปี 2562 ทะลุ 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% โดดเด่นสุดในรอบ 5 ปี (ไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ในปี 2560) หลังผลงาน Q4/62 ทำนิวไฮจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม และรายได้จากการให้บริการโลจิสติกส์และซัปพลายที่เติบโตได้ดีทั้งในประเทศ และอาเซียน
ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า ในปี 2562 เป็นปีที่ JWD ทำผลการดำเนินงานได้ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัจจัยสงครามการค้าและผลกระทบภาวะเงินบาทแข็งค่า โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 362.8 ล้านบาท เติบโต 62% จากปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 224.5 ล้านบาท และหากเปรียบเทียบผลการดำเนินงานย้อนหลัง (ไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ในปี 2560) จะถือว่าผลการดำเนินงานปี 2562 มีกำไรสุทธิโดดเด่นที่สุดในรอบ 5 ปี
ส่วนรายได้รวมในปี 2562 อยู่ที่ 3,660.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้รวม 3,297.6 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2562 สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยมีกำไรสุทธิ 118.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และนับเป็นเป็นไตรมาสแรกที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเกินกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมในไตรมาสสุดท้ายอยู่ที่ 988.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดร.เอกพงษ์กล่าวว่า ปัจจัยการเติบโตในปี 2562 มาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมกว่า 114.7 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลงทุนใน TRANSIMEX CORPORATION ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ของเวียดนาม และ Phnom Penh SEZ. Plc. (PPSEZ) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในกัมพูชา สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทฯ ที่เข้าลงทุนเพื่อต่อยอดการให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนในระดับภูมิภาคอาเซียน
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในปี 2562 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 28% เทียบกับปี 2561 อยู่ที่ 26.4% เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น เช่น ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าทั่วไป มีรายได้รวม 343.4 ล้านบาท เติบโต 7.7% และอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจาก 10.2% เป็น 20.6%, ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตรายมีรายได้รวม 556.8 ล้านบาท เติบโต 12% และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 41.7% เป็น 45.1%, ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์มีรายได้รวม 464.9 ล้านบาท เติบโต 6.2% และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 32.8% เป็น 34.9% ฯลฯ ส่วนธุรกิจบริการอาหารมีการเติบโตที่น่าพอใจ นอกจากนี้ ธุรกิจ Self-Storage (ห้องเก็บสินค้าส่วนตัวให้เช่า) ที่เริ่มรับรู้รายได้เต็มปีจากการเปิดบริการสาขาสามย่านก็มีรายได้เติบโตโดดเด่น
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในรอบปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่เผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยสงครามการค้าและการแข็งค่าเงินบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรม สะท้อนถึงการวาง Strategic Move หรือการปรับกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ จากเดิมที่ JWD เน้นการลงทุนขยายธุรกิจเองในต่างประเทศ สู่การขยายธุรกิจโดยการเข้าถือหุ้นและเข้าควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีศักยภาพ รวมถึงการเข้าลงทุนในธุรกิจด้านซัปพลายเชนที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์เพื่อต่อยอดธุรกิจครอบคลุมการให้บริการในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา พม่า สปป.ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย และไต้หวัน จึงทำให้การดำเนินธุรกิจในบางประเทศได้รับประโยชน์จากภาวะสงครามการค้า เช่น ธุรกิจที่เข้าลงทุนในกัมพูชาและเวียดนามที่ได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2563 มีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ที่เริ่มส่งผลต่อการค้าและธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว โดยพบว่ามีลูกค้าบางส่วนที่เข้ามาใช้บริการเช่าพื้นที่เก็บสินค้าเป็นระยะเวลานานขึ้น