โบรกเกอร์ เตรียมหั่นเป้ากำไร บจ.ปีนี้ลง หลังจีดีพีไทยถูกลดเป้าตั้งแต่ต้นปี คาด EPS Growth อาจติดลบ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นหลุด 1,500 จุด พร้อมเปิดโผ 10 หุ้น Real Sector ถูกลดเป้ากำไร แบงก์ - ปิโตรฯ นำทีม
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์รายวันว่า หลังจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ (สภาพัฒน์) รายงานตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) งวด Q462 ออกมาอยู่ที่ 1.6% ต่ำกว่าคาดที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.1% และเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส ทำให้เชื่อว่าทิศทางการไหลของเม็ดเงินลงทุน ยังน่าจะมีทิศทางหลักไปยังตราสารหนี้ต่อเนื่อง
ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน SET หลังการทยอยประกาศงบการเงินงวดปี 2562 ยังคงเห็นนักวิเคราะห์ ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีกาปรับในส่วนของกลุ่มธุรกิจการบิน สะท้อนผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และ ICT หลังราคาประมูลคลื่นความถี่สำหรับการเปิดให้บริการ 5G สูงกว่าคาด
โดยเบื้องต้นทำให้คาดว่า EPS Growth ปี 2563 อาจติดลบ โดยฝ่ายวิจัยจะเร่งนำเสนอรายละเอียดออกมาอีกครั้ง ประเมินว่า SET Index ในช่วงเวลานี้จะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันและมีโอกาสปรับฐานลงมาต่ำกว่า 1,500 จุด
นอกจากนี้ ด้วยความกังวลในการเติบโตของเศรษฐกิจยังมีโอกาสชะลอลงจากทุกๆ องค์ประกอบ บวกกับสถานการณ์แวดล้อม ทางพื้น ฐาน เช่น การใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 เรื่องสัญญาเช่า ซึ่ง มีผลต่อทั้ง งบกำไรขาดทุน และโครงสร้างการเงิน รวมถึงปัจจัยลบเฉพาะตัว ส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Real Sector อาจถูกลดประมาณการกำไร ลงอีก จากที่ฝ่ายวิจัยเคยได้นำเสนอหุ้นที่มีการปรับลดประมาณการกำไรปี 2563 ลง ประกอบไปด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 10 บริษัท ดังตาราง
หุ้น กลุ่ม การเปลี่ยนแปลงกำไร ปี 63 (ล้านบาท)
SCB BANK -6,054
BBL BANK -2,280
TISCO BANK -638
PTTGC PRETO -8,038
IVL PRETO -7,894
IRPC PRETO -2,100
SCC CONMAT -3,718
DTAC ICT -857
AEONT FIN -375
AOT TRANS -281
รวม -32,235
เริ่มจาก กลุ่มปิโตรฯ ถูกกดดันราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ, กลุ่มธ.พ. ถูกกดดันจากดอกเบี้ย ที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ บวกกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ, กลุ่ม ICT มีต้นทุนจากการประมูลคลื่น 5G ที่เพิ่มขึ้น , กลุ่มการบินและท่องเที่ยวยังมีความเสี่ยงจากโรคระบาด COVID-19 หากยืดเยื้อ เป็นต้น
เบื้องต้นฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลหุ้นที่มีการปรับลดประมาณการในปี 2563 ที่ผ่านมาและจะนำเสนอให้ทราบในวันถัดไปคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 ล่าสุดอยู่ที่ 9.68 แสนล้านบาท (ปรับลดจาก 10 บริษัทด้านบน) หรือคิดเป็น EPS ที่ระดับ 92.62 บาทต่อหุ้น (EPS ปี 2562F เท่ากับ 92.11 บาท/หุ้น) ซึ่งฝ่ายวิจัยมีแผนที่จะปรับลดประมาณการตัวเลขกำไรสุทธิและกำไรต่อหุ้น ปี 2563 อีก ซึ่งมีโอกาสที่กำไรต่อหุ้น ปี 2563 จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2562 อยู่พอสมควร ถือเป็น Downside Risk ต่อดัชนีตลาดฯ รวมถึงกนง.มีโอกาสใช้มาตการการเงินผ่อนคลายอีก ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าต่อ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ Fund Flow ให้ชะลอไหลเข้าตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุดต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 2.76 หมื่นล้านบาท (ytd)
ยูโอบี คาด โควิด-19 กระทบกำไร บจ.เพียบ
ด้าน บล.ยูโอบี เปิดเผยว่าผลของไวรัสโควิด-19 จะกระทบต่อกำไรบจ.ไทยหลายกลุ่มเช่นกัน ทั้งพลังงาน, ธนาคาร, ค้าปลีก, ท่องเที่ยว เป็นต้น
สำหรับกลยุทธ์แนะนำเลือกเก็งกำไรรายตัว ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ปรับฐานมาก่อนหน้ามีโอกาสฟื้นตัว แม้เราจะมองหุ้นหลายตัวเกินราคาเหมาะสมแต่ในเชิงกลยุทธ์มองเป็นโอกาสเก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุนที่น่าสนใจใน GPSC, BGRIM, GULF, EGCO
ขณะที่สาธารณูปโภคในนิคม อาจได้รับผลกระทบจากภัยแล้งทำให้งบครึ่งปีแรกอ่อนแอ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงปัจจัยบวกระยะยาว ทยอยสะสม EASTW, WHAUP เรามองความกังวลผลประกอบการจะทำให้หุ้นในกลุ่มรายได้มั่นคงที่ราคาไม่ รวมถึงพลังงานทดแทน มีโอกาสเป็นเป้าหมายการลงทุน อาทิ BPP, SPP, GUNKUL
ส่วนภาพรวมกลยุทธ์ การปรับลด GDP คาดทำให้เกิดปรับลดประมาณการกำไรบจ. ตามมา ซึ่งจะทำให้เงินทุนบางส่วนไปพักในกลุ่มปลอดภัยจนกว่าการปรับประมณการลง (earnings downgraded) จะแล้วเสร็จ คาดกลุ่มโรงไฟฟ้ากลับมา Outperform ในช่วงสั้นได้