ราคาหุ้น บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หงอยเหงายาวนานมาหลายเดือน แต่วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราคาดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรง หลังมีข่าวว่า ศาลสูงสิงคโปร์ ยกฟ้องคดีที่บริษัท เจ ทรัสต์ เอเชีย ยื่นฟ้อง บริษัท กรุ๊ปลีส โฮลดิ้งส์ ในสิงคโปร์ ซึ่ง GL ถือหุ้นอยู่ 100% ในความผิดฐานหลอกลวงให้ร่วมลงทุน โดยอ้างว่า ฐานะการเงินของกรุ๊ปลีส โฮลดิ้งส์ ดีกว่าความเป็นจริง
หุ้น GL พุ่งขึ้นจาก 4.02 บาท ปิดที่ 4.64 บาท ขยับขึ้น 62 สตางค์ หรือ 15.42% รับข่าวศาลสูงสิงคโปร์ยกฟ้องบริษัทลูกในสิงคโปร์ เพราะนักลงทุนแห่เข้ามาเก็งกำไร
แต่ราคาหุ้นวิ่งได้เพียงวันเดียว เพราะวันรุ่งขึ้น หุ้น GL กลับสู่ภาวะปกติ ราคาอ่อนตัวลง ทำให้นักเก็งกำไรประเภทเสือปืนไว และแห่เข้าไปไล่ซื้อหุ้นเจ็บตัวไปตามระเบียบ
การที่ศาลสูงสิงคโปร์ยกฟ้องบริษัทลูก ในข้อหาหลอกลวง ส่งผลในเชิงจิตวิยา กระตุ้นการเก็งกำไรหุ้น GL แต่เป็นเพียงผลจิตวิทยาในระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะคดีนี้ เจ ทรัสต์ เอเชีย สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ และ GL ยังมีคดีถูกฟ้องร้องอีกมากมาย
รวมทั้งคดีที่ อดีตผู้บริหารบริษัทถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 ในความผิดทุจริต เบียดบังทรัพย์สินของบริษัท และจัดทำงบการเงินไม่ถูกต้อง โดยทำธุรกรรมอำพรางผ่านบริษัทที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ
วิบากกรรมในคดีความต่างๆ ของ GL ยังไม่จบ ขณะที่ผลประกอบการบริษัทไม่ได้โดดเด่น และราคาหุ้นเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานปัจจุบันถือว่าไม่สมดุลกัน เพราะมีค่า พี/อี เรโช สูงถึง 106 เท่า
ก่อนอดีตผู้บริหารบริษัทจะถูก ก.ล.ต.กล่าวโทษในความผิดจัดทำบัญชีไม่ถูกต้อง ทำให้นักลงทุนเกิดความเข้าใจผิดในผลประกอบการ GL ถูกจัดเป็นหุ้นยอดนิยม ราคาเคลื่อนไหวอย่างร้อนแรง และผลประกอบการในช่วงนั้นเติบโตสูง โดยปี 2559 มีกำไรสุทธิ 1,063.84 ล้านบาท
แต่ปี 2560 ผลประกอบการทรุดฮวบ ขาดทุนสุทธิ 1,603.21 ล้านบาท ปี 2561 กำไรสุทธิ 281.79 ล้านบาท
ปี 2562 กำไรสุทธิ 328.86 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปี 2563 กำไรสุทธิ 113.26 ล้านบาท แต่ไม่ได้จ่ายเงินปันผลมานับตั้งแต่ปี 2559
ราคาหุ้น GL สงบราบคาบหลายปีแล้ว นับตั้งแต่มีการกล่าวโทษอดีตผู้บริหารบริษัทเมื่อปลายปี 2560 แม้ว่าบางช่วงจะมีการจุดพลุไล่ราคา แต่ราคาขยับขึ้นมาได้ในช่วงสั้นๆ และหลายเดือนแล้วที่ราคาหุ้นแกว่งตัวในกรอบแคบๆ แถวระดับ 4 บาท
เพิ่งขยับขึ้นอย่างคึกคัก เพราะข่าวศาลสูงสิงคโปร์ยกฟ้อง เจ.ทรัสต์ เอเชีย ที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายบริษัทลูกเท่านั้น แต่ก็วิ่งขึ้นมาได้เพียงวันเดียว ก่อนจะถูกทุบลงไปใหม่
ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่หลงเหลืออยู่ใน GL มีจำนวนทั้งสิ้น 7,384 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 37.03% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งผู้ถือหุ้นรายย่อยแทบทั้งหมดน่าจะแบกหุ้นต้นทุนสูงไว้ และอยู่ระหว่างรอคอยการฟื้นตัวของกิจการ รอคอยจังหวะหุ้นกระเตื้องเพื่อจะตัดขาดทุน
GL อยู่นอกสายตานักเก็งกำไรมาพักใหญ่ๆ มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละไม่กี่ล้านบาท แต่ข่าวบริษัทลูกในสิงคโปร์ถูกยกฟ้อง จุดพลุการเก็งกำไรรอบใหม่ ทำให้มูลค่าการซื้อขายพุ่งพรวดเฉียด 200 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีในเชิงจิตวิทยาถูกย่อยสลายภายในวันเดียว ไม่มีข่าวดีที่จะสนับสนุนการเก็งกำไรต่อ ราคาหุ้นจึงมีแนวโน้มที่จะถอยหลังไปตั้งหลักใหม่ กลายเป็นหุ้นที่อยู่นอกสายตานักลงทุนต่อไป
หุ้นในตลาดหลักทรัพย์รวมหุ้นในตลาด MAI ปัจจุบันมีเกือบ 1 พันบริษัท นักลงทุนมีตัวเลือกเยอะ จึงไม่แปลกที่ GL จะตกอยู่ฐานะหุ้นที่ถูกเมิน เพราะปัจจัยพื้นฐานไม่เด่น และยังมีวิบากกรรมเก่าๆ หลอกหลอนอยู่
แม้จะหวังเพียงแค่เก็งกำไรช่วงสั้นๆ ข่าวศาลยกฟ้องบริษัทลูก ยังเจ็บเนื้อเจ็บตัวตามๆ กันเลย