ฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า ธนาคารไทยหลายแห่งมีการพิจารณาที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk appetite) ของธนาคารในภูมิภาคเอเชีย แนวโน้มของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากแรงกดดันที่สูงขึ้นในด้านผลกำไร) อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคารบางแห่ง ที่จะขยายการดำเนินงานไปในประเทศที่มีความเสี่ยงในด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ จากระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำ แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อที่ไม่สูงนัก และการแข่งขันที่เข้มข้นภายในประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ธนาคารหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เพิ่มขึ้นในการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A) กับธนาคารอื่นในต่างประเทศ ซึ่งฟิทช์เชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปในช่วงปี 2563 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความจำเป็นที่จะต้องให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศของธนาคารที่มีการขยายธรุกิจไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีความชัดเจนมากกว่าสำหรับธนาคารในประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชีย แต่ที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวก็เป็นปัจจัยที่พบในประเทศที่กำลังพัฒนาเช่นกัน ซึ่งรวมถึงในกรณีของประเทศไทย
โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ได้ตกลงที่จะเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 89% ของ PT Bank Permata Tbk (AAA(ind)/เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ) ซึ่งเป็นธนาคารในประเทศอินโดนีเซีย และในเดือนมกราคม 2563 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) มีการเจรจาซื้อหุ้นในสัดส่วน 35% ของ Ayeyarwaddy Farmers Development Bank ซึ่งเป็นธนาคารในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ก็ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังอยู่ระหว่างขออนุมัติเปลี่ยนสถานะสำนักงานตัวแทนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เป็นบริษัทย่อย
ฟิทช์ คาดว่า ธนาคารไทยแห่งอื่นน่าจะพิจารณาการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศเช่นกัน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ โดยทั่วไปธนาคารไทยส่วนใหญ่มีฐานะเงินกองทุนที่เหมาะสม ซึ่งน่าจะช่วยรองรับการเติบโตโดยการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ (inorganic growth) ได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ขนาดของกิจการที่จะเข้าซื้อน่าจะถูกจำกัดโดยขนาดของเงินกองทุนของธนาคารไทย ซึ่งฟิทช์เชื่อว่ามีเพียงธนาคารไม่กี่รายที่จะสามารถเข้าซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่ในระดับใกล้เคียงกับในกรณีของ Permata เนื่องจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับต่ำ อาจส่งผลกระทบต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (viability rating) ของธนาคารโดยทั่วไปฟิทช์มองว่าธนาคารในประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชีย น่าจะมีความพร้อมมากกว่าในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในด้านของฐานะทางการเงินและความชำนาญ
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกรุงเทพ มีความแตกต่างจากธนาคารไทยรายอื่น เนื่องจากธนาคารกรุงเทพ มีประสบการณ์มากในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยธนาคารมีการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียมาแล้วก่อนหน้าเป็นเวลานาน อีกทั้งธนาคารยังมีบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซียและประเทศจีน ในขณะที่ธนาคารไทยรายอื่นๆ มีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ไม่มากนัก ฟิทช์เชื่อว่าปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงจากความพยายามที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศที่อาจมีสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่แตกต่าง คือการขยายธุรกิจไปในกลุ่มประเทศใกล้เคียง เช่น ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคาดว่าธนาคารอาจจะเน้นไปในทิศทางดังกล่าว
ขณะที่การขยายธุรกิจไปในประเทศที่สภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่มีความท้าทายสูงกว่า อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติมกับธนาคารไทย รวมทั้งธนาคารอื่นในภูมิภาคเอเชียที่มีแผนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในลักษณะที่คล้ายกัน ซึ่งภายใต้สภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคอยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวอาจยังไม่มีความชัดเจนมากนักในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากสภาพแวดล้อมปรับตัวแย่ลง ความเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นที่ประจักษ์มากขึ้น ดังนั้น การพิจาณาผลกระทบของฟิทช์ต่ออันดับเครดิตของธนาคารจากการซื้อกิจการในต่างประเทศ จึงต้องคำนึงถึงระดับความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่เหมาะสม เทียบกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจในต่างประเทศ
ทั้งนี้ จากระดับอัตราดอกเบี้ยต่ำ แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อที่ไม่สูงนัก และการแข่งขันที่เข้มข้นภายในประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ธนาคารหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เพิ่มขึ้นในการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A) กับธนาคารอื่นในต่างประเทศ ซึ่งฟิทช์เชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปในช่วงปี 2563 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีความจำเป็นที่จะต้องให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศของธนาคารที่มีการขยายธรุกิจไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีความชัดเจนมากกว่าสำหรับธนาคารในประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชีย แต่ที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวก็เป็นปัจจัยที่พบในประเทศที่กำลังพัฒนาเช่นกัน ซึ่งรวมถึงในกรณีของประเทศไทย
โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ได้ตกลงที่จะเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 89% ของ PT Bank Permata Tbk (AAA(ind)/เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ) ซึ่งเป็นธนาคารในประเทศอินโดนีเซีย และในเดือนมกราคม 2563 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) มีการเจรจาซื้อหุ้นในสัดส่วน 35% ของ Ayeyarwaddy Farmers Development Bank ซึ่งเป็นธนาคารในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ก็ได้เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังอยู่ระหว่างขออนุมัติเปลี่ยนสถานะสำนักงานตัวแทนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เป็นบริษัทย่อย
ฟิทช์ คาดว่า ธนาคารไทยแห่งอื่นน่าจะพิจารณาการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศเช่นกัน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ โดยทั่วไปธนาคารไทยส่วนใหญ่มีฐานะเงินกองทุนที่เหมาะสม ซึ่งน่าจะช่วยรองรับการเติบโตโดยการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ (inorganic growth) ได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ขนาดของกิจการที่จะเข้าซื้อน่าจะถูกจำกัดโดยขนาดของเงินกองทุนของธนาคารไทย ซึ่งฟิทช์เชื่อว่ามีเพียงธนาคารไม่กี่รายที่จะสามารถเข้าซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่ในระดับใกล้เคียงกับในกรณีของ Permata เนื่องจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในระดับที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับต่ำ อาจส่งผลกระทบต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (viability rating) ของธนาคารโดยทั่วไปฟิทช์มองว่าธนาคารในประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชีย น่าจะมีความพร้อมมากกว่าในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในด้านของฐานะทางการเงินและความชำนาญ
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกรุงเทพ มีความแตกต่างจากธนาคารไทยรายอื่น เนื่องจากธนาคารกรุงเทพ มีประสบการณ์มากในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยธนาคารมีการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียมาแล้วก่อนหน้าเป็นเวลานาน อีกทั้งธนาคารยังมีบริษัทย่อยในประเทศมาเลเซียและประเทศจีน ในขณะที่ธนาคารไทยรายอื่นๆ มีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศที่ไม่มากนัก ฟิทช์เชื่อว่าปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงจากความพยายามที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศที่อาจมีสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่แตกต่าง คือการขยายธุรกิจไปในกลุ่มประเทศใกล้เคียง เช่น ประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคาดว่าธนาคารอาจจะเน้นไปในทิศทางดังกล่าว
ขณะที่การขยายธุรกิจไปในประเทศที่สภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่มีความท้าทายสูงกว่า อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติมกับธนาคารไทย รวมทั้งธนาคารอื่นในภูมิภาคเอเชียที่มีแผนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในลักษณะที่คล้ายกัน ซึ่งภายใต้สภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคอยู่ในระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ ผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวอาจยังไม่มีความชัดเจนมากนักในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากสภาพแวดล้อมปรับตัวแย่ลง ความเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นที่ประจักษ์มากขึ้น ดังนั้น การพิจาณาผลกระทบของฟิทช์ต่ออันดับเครดิตของธนาคารจากการซื้อกิจการในต่างประเทศ จึงต้องคำนึงถึงระดับความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่เหมาะสม เทียบกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจในต่างประเทศ