คลัง มอบนโยบายผู้บริหาร ธอส. ใน 3 พันธกิจใหญ่ 1.ส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเอง 2.เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นภาคอสังหาฯ และ 3.การต่อยอดฐานข้อมูล 3.7 ล้านราย ด้านเอ็มดี ธอส. "ฉัตรชัย ศิริไล" ระบุเตรียมงบ 100,000 ล้านบาท ในการออกมาตรการสินเชื่อพิเศษ ดูแลลูกค้าสวัสดิการ แก้ไขปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่กลุ่มข้าราชการ แจงผลงานปล่อยสินเชื่อในโครงการต่างๆ เผยหลัง ธปท.คลาย LTV ยอดปล่อยกู้เกณฑ์ใหม่เกือบ 1,000 ล้านบาท
วานนี้ (24 ม.ค.) ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมามอบนโยบายการบริหารงาน และติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ ตามนโยบายรัฐของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยมีนายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการ ธอส. นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. พร้อมด้วยคณะกรรมการธนาคารและผู้บริหารให้การต้อนรับและร่วมรับฟังนโยบาย
โดย รมว.คลัง กล่าวถึง 3 พันธกิจที่ ธอส.ควรต้องทำต่อไป คือ 1. การส่งเสริมให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เนื่องจากในปัจจุบันภาครัฐมีนโนบายในการขจัดความเหลื่อมล้ำในที่อยู่อาศัย ซึ่งประชาชนมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ธอส.มีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยรองรับ และมีการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนต่อไป
2.ธอส.จะมีส่วนสำคัญในการดูแลเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ยังมีส่วนต่อการจ้างงาน ส่งเสริมในเรื่องของยอดขายของผู้ผลิตต่างๆ ซึ่งต้องยอมรับว่า การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นความท้าทาย และเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญมากเพื่อเป็นการออกมาตรการช่วยเหลือ นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการให้ธอส.เติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่ง ธอส.มีบทบาทสำคัญในการชี้นำได้อยู่แล้ว
และ 3 พันธกิจในเรื่องการบริหารฐานข้อมูล (บิ๊กดาต้า) ผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้มีประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนมากที่สุด และที่สำคัญด้วยจำนวนฐานลูกค้าของ ธอส.ที่มีมากถึง 3.7 ล้านราย สามารถนำไปต่อยอดในมิติอื่นๆ ให้ได้ เช่น การเข้าไปดูแลสวัสดิการให้แก่ประชาชนและลูกค้า ขณะที่รัฐบาลมีข้อมูลดูแลประชาชนผ่านบัตรโครงการประชารัฐ และโครงการชิม ช้อป ใช้ ส่งผลให้มีฐานข้อมูลอยู่ในระบบกว่า 30 ล้านข้อมูล ซึ่งในอนาคตจะนำข้อมูลเหล่านี้มาต่อยอดโครงการใหม่ๆ ของภาครัฐต่อไป เป็นการพัฒนาบิ๊กดาต้าให้เกิดประสิทธิสูงสุด
"เราต้องการให้แบงก์รัฐช่วยกันดูแลภาพรวมเศรษฐกิจให้เติบโต ในส่วนมาตรการต่างๆ ที่ ธอส.ออกไปแล้ว ก็ต้องมีการติดตามผล และออกมาตรการใหม่ๆ ที่เหมาะสม ขณะที่การจะออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องดูก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร" ดร.อุตตม กล่าว
ธอส.อัดแสน ล. ช่วยเหลือคนไทยมีบ้าน-ลดภาระหนี้
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธนาคารได้เดินหน้าสนองนโยบายของภาครัฐในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” และปฏิบัติตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ที่ให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้ประชาชนทุกระดับรายได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย จึงได้เตรียมวงเงินรวมกว่า 100,000 ล้านบาท จัดทำ 4 ผลิตภัณฑ์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.โครงการบ้าน ธอส. เพื่อสานรัก (เพื่อสังคม) ปี 2563 (กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ส่วนเดือนที่ 37-42 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 43 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี และกรณีซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย
ปีที่ 1 จนถึงตลอดอายุสัญญา อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.50% ต่อปี) ให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลักประกัน และผู้กู้ต้องมีรายได้รวมไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 37-42 จะเป็น 0% ต่อปี ต่อเมื่อทำนิติกรรมพร้อมสมัครใช้บริการ GHB ALL และผ่อนชำระเงินงวดผ่าน GHB ALL เท่านั้น ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
2.โครงการสินเชื่อบ้าน Dream Homes by GHB (กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 4-5 อัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี (ปัจจุบันเท่ากับ 4.50% ต่อปี) เดือนที่ 61-66 อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี เดือนที่ 67 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1% ต่อปี
กรณีลูกค้ารายย่อยที่หน่วยงานทำ MOU ภายใต้โครงการ Corporate Synergy กับธนาคาร อัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ให้กู้สำหรับผู้กู้ที่ปัจจุบันไม่มีการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับ ธอส. หรือสถาบันการเงินอื่น ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
3.ผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ ธอส. รุ่นที่ 3 ชุดพิมานมาศ (กรอบวงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท) โดยสลากจะจำหน่ายหน่วยละ 50,000 บาท จำนวนสลากรวมทั้งโครงการ 1 ล้านหน่วย ออกรางวัลทุกเดือน จำนวนรางวัลรวมทั้งโครงการเดือนละ 100 รางวัล รางวัลละ 50,000 บาท และมีรางวัลพิเศษทุกไตรมาส มูลค่ารวมไตรมาสละ 10 ล้านบาท
ซึ่งจะเริ่มเปิดจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 โดยธนาคารจะนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายสลากออมทรัพย์ รุ่นที่ 3 ไปจัดทำเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับปล่อยกู้ให้แก่ประชาชนทุกระดับรายได้โดยจะพิจารณาวงเงินการให้สินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้โดยไม่มีเพดานวงเงินให้สินเชื่อต่อราย
และ 4.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ ธอส. ร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ข้าราชการ จึงได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือสำหรับผู้กู้หรือผู้กู้ร่วมที่เป็นข้าราชการหรือบุคลากรภาครัฐ (ข้าราชการ, พนักงานรัฐวิสาหกิจ, พนักงานองค์กรอิสระ และพนักงานองค์กรมหาชน) ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระตามเงื่อนไขการประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร หรือมีวันค้างชำระตั้งแต่ 61 วันขึ้นไป
ปัจจุบัน มีอยู่จำนวนประมาณ 10,000 ราย ยอดเงินต้นคงเหลือ 8,300 ล้านบาท ให้ใช้อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี ในระหว่างการประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ระยะเวลา 6 เดือน ผ่อนชำระเงินงวดร้อยละ 50 ของเงินงวดตามสัญญาเดิม หรือเงินงวดตามข้อตกลงประนอมหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้เดิม โดยธนาคารจะติดตามดูผลการชำระเงิน 3 เดือน ก่อนพิจารณาจัดชั้นหนี้เป็นปกติ ส่วนเงินงวดที่ชำระตามมาตรการนี้จะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด
แจงผลงานแพกเกจโครงการต่างๆ
ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย “มาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์” อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-3 คงที่ 2.50% ต่อปี ให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 3 ล้านบาท ณ วันที่ 23 มกราคม 2563 มีผู้ยื่นกู้แล้ว จำนวน 11,425 บัญชี วงเงินขอกู้ 21,947 ล้านบาท และอนุมัติแล้ว 9,460 บัญชี วงเงินอนุมัติ 17,605 ล้านบาท
“โครงการบ้านล้านหลัง” อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% นานสูงสุด 5 ปีแรก ให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ณ วันที่ 23 มกราคม 2563 มีผู้ยื่นกู้แล้ว จำนวน 22,442 บัญชี วงเงินขอกู้ 16,506 ล้านบาท และอนุมัติแล้ว 21,227 บัญชี วงเงินอนุมัติ 15,086 ล้านบาท
“โครงการบ้านดีมีดาวน์” ภาครัฐสนับสนุนเงินเพื่อลดภาระการผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาทต่อราย แก่ประชาชน 100,000 รายแรกที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขของโครงการโดยอยู่ในระบบฐานภาษี มีรายได้ปี 2561 ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี ณ วันที่ 22 มกราคม 2563 มีจำนวนผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 90,507 ราย เป็นผู้ที่ผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์การลงทะเบียน 50,506 ราย และมีจำนวนผู้ที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จดจำนอง และ ธอส.ได้โอนเงินที่รัฐสนับสนุนเพื่อลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว จำนวน 5,659 ราย
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 นี้ ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่รวมกว่า 209,000 ล้านบาท เติบโต 3% เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา และตั้งเป้ามีกำไร 14,000 ล้านบาท โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา ธนาคารตั้งเป้ายอดปล่อยสินเชื่อที่ 203,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถปล่อยสินเชื่อรวมได้ที่กว่า 215,301 ล้านบาท ทำให้มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1,209,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.37% จากสิ้นปี 2561 และมีกำไร 13,352 ล้านบาท
"ธอส.กำลังที่จะทำบริการเกี่ยวกับการดูแลลูกค้าต่อเนื่อง เช่น หากลูกค้าเคยใช้เงินกู้กับ ธอส.และเป็นลูกค้าดี ก็สามารถส่งต่อเรื่องเครดิตใหัแก่บุคคลภายในบ้านได้ มีการพิจารณาเรื่อง LTV ลดลง และได้มีการพิจารณาวงเงินสินเชื่อที่มีสัดส่วนสูงกว่ารายได้ต่อภาระหนี้ หรือ DSR เป็นต้น"
ยอดปล่อยกู้ใหม่หลังใช้เกณฑ์ LTV ใหม่
นายฉัตรชัย กล่าวถึงความคืบหน้าหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับเกณฑ์ควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ใหม่เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 ว่า ช่วง 2 วัน (21-22 ม.ค.) หลังใช้เกณฑ์ LTV ใหม่ สามารถอนุมัติสินเชื่อใหม่ได้ 900 ล้านบาท ซึ่งแนวโน้มสินเชื่อในส่วนของลูกค้ารายย่อยจะเติบโตได้ 5% ส่วนสินเชื่อสวัสดิการ ซึ่งคิดเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของ ธอส.คาดจะเติบโต 15%