MQDC เปิดตัวคอนโดฯ แนวคิดใหม่ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” ออกแบบเพื่อทุกเจเนอเรชัน เผยเตรียมเปิด 3 โครงการในปีนี้ ประเดิมโครงการแรก “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” มูลค่า 6,000 ล้านบาท จ่อเปิดอีก 2 โครงการในเดอะ ฟอเรสเทียส์
นายรุ่งโรจน์ จงศุจิพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส แบรนด์ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ” (MULBERRY GROVE) บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท" by MQDC ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาและออกแบบให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของครอบครัวหลากหลายช่วงวัย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ต้องการอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในขณะที่ทุกคนก็ยังต้องการพื้นที่ของตัวเอง มีความต้องการในรายละเอียดที่แตกต่าง บริษัทจึงออกแบบการอยู่ด้วยกันแบบ ‘INTERGENERATION’ ที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยน และการใช้เวลาอยู่ด้วยกันภายในครอบครัว โดยทุกรายละเอียดของโครงการได้ถูกออกแบบและพัฒนามาจากความต้องการของสมาชิกทุกรุ่น เพื่อการใช้ชีวิตในแบบ Intergeneration Living
สำหรับโครงการ “มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ สูง 37 ชั้น 1 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง จำนวนห้องพักอาศัย 287 ยูนิต พร้อมพื้นที่จอดรถกว่า 100% มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 175,000 บาท/ตร.ม. หรือประมาณ 8.9 ล้านบาท ถึงกว่า 100 ล้านบาท สำหรับห้องเพนต์เฮาส์
ภายในโครงการการประกอบด้วย ห้องพัก 1 Bedroom ขนาด 47-56.50 ตร.ม. 2 Bedroom ขนาด 87-114 ตร.ม. และ Penthouse 2-5 Bedroom โดยมีกำหนดเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 1-2 กุมภาพันธ์นี้ ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เปิดขายรอบ VIP กลุ่มลูกค้าเก่า ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีโดยมียอดขายไปแล้ว 20%
ทั้งนี้ แบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับบนที่ออกแบบมาเพื่อทุกวัย โดยในปีนี้จะเปิด 3 โครงการ ซึ่งนอกจาก มัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท แล้ว จะเปิดอีก 2 โครงการภายในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ 1.มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม เดอะ ฟอเรสเทียส์ บางนา บนเนื้อที่ 15 ไร่ เป็นอาคารโลว์ไรส์ 7-8 ชั้น จำนวน 6 อาคาร รวม 297 ยูนิต ขนาดห้องไม่ต่ำกว่า 100 ตร.ม. เจาะกลุ่มลูกค้าหลายเจเนอเรชัน และมัลเบอร์รี่ โกรฟ เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับหรู
ด้าน น.ส.อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างมาก หนึ่งในนั้นคือคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์สังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งจำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยที่สามารถรองรับกับความต้องการดังกล่าวได้
“ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เทรนด์ใหม่เริ่มเด่นชัดเช่นกัน ซึ่งผู้ประกอบการเริ่มหันมาพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น” น.ส.อลิวัสสา กล่าว
นอกจากการพัฒนาโครงการเพื่อให้ตอบโจทย์สังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว การบริการต่างๆ ภายในโครงการก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะโครงการระดับ Super-Luxury ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเลือกสรรบริการที่มีความพรีเมียม เป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกบ้าน เช่น Caregiver Service บริการการดูแลผู้สูงวัยด้านสุขภาพ หรือเมื่อมีเหตุฉุกเฉินต่างๆ Wellness Manager เจ้าหน้าที่ดูแล และให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพ Concierge Service เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก และให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ และ 30-Year Warranty การรับประกัน 30 ปี ครอบคลุมองค์ประกอบหลัก 4 อย่าง เช่น อุปกรณ์ต่างๆ ภายในยูนิต โครงสร้าง ประตู หน้าต่าง ระบบสุขาภิบาล และระบบไฟฟ้า
นอกจากนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่ต่างกัน เพราะสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่ Sharing Community หรือเน้นการมาพบปะและทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ซึ่งแต่ละโครงการควรให้ความสำคัญต่อพื้นที่ส่วนกลาง ไม่ใช่เพียงสระว่ายน้ำ หรือฟิตเนส แต่ต้องมีส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และเอื้อต่อการสร้างสรรค์กิจกรรมร่วมกัน สร้างชุมชนของโครงการให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ให้มีความสุขในการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
น.ส.อลิวัสสา กล่าวต่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซาต่อเนื่อง จากปัจจัยลบต่างๆ รวมถึงกฎระเบียบ ข้อบังคับของรัฐบาล แต่ในปีนี้เชื่อว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV ภาษีที่ดิน ที่ประชาชนเริ่มเข้าใจว่าค่าภาษีไม่ได้แพงอย่างที่เข้าใจในตอนแรก นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการมีความระมัดระวังในการลงทุนและชะลอแผนการลงทุนคอนโดฯ ออกไปทำให้ซัแพลายในตลาดมีน้อย
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาที่ไม่สูงมาก และคุณภาพ เนื่องผู้ประกอบการที่ลงทุนในช่วงนี้จะต้องมีความมั่นใจในศักยภาพโครงการอย่างมาก ทั้งการเลือกทำเล การออกแบบ วัสดุ ของที่ให้เพื่อดึงดูดกำลังซื้อ และพัฒนาสินค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง จากเดิมจะมีทั้งกลุ่มเก็งกำไรมากถึง 50% แต่ปัจจุบันกลุ่มเก็งกำไรเหลือไม่ถึง 10%