สรุปภาพรวมและประเด็นสำคัญในการลงทุน จากเวทีงานสัมมนา“Investment Outlook 1Q20: น้ำขึ้นให้รีบตัก ลงทุนหุ้นปันผลสูงก่อนตลาดจะวาย” นักวิเคราะห์บล. เคที ซีมิโก้ มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ไตรมาสแรกปีนี้ จะปรับสูงขึ้นโดยมี แนวรับ1550/1500 จุด และแนวต้าน 1620/1660จุด โดย 1Q20E คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี พร้อมแนะลงทุนหุ้นปันผลสูง ได้แก่LH TCAP TISCO JASIF DIF
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคที ซีมิโก้ ได้ให้มุมมองด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะการลงทุนไทย ในช่วงไตรมาส1 ไว้ว่า “เราคาดว่าดัชนีฯ จะปรับตัวดีสุดในช่วง 1Q20Eโดยอิงสถิติย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.6% เนื่องจากเป็นช่วงที่มีข่าวดีทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ(ความสำเร็จของ Brexit, US-China Phase one deal, การผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2020) และเป็นช่วงที่ บจ. ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปีด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 4% และประมาณการเติบโตของกำไรบจ. ในปีนั้น ๆ สูงที่สุดของปี เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาด ส่วนหุ้นที่แนะนำลงทุนได้แก่ หุ้นปันผลสูง ที่มีอัตราผลตอบแทนมากกว่า4% ได้แก่ LH TCAP TISCO JASIF DIF และแนะลงทุนในหุ้นที่มีประเด็น ได้แก่BBL CPF CK BCH”
ส่วนมุมมองตลาดคาดดัชนีฯ ปรับสูงขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ 1620/1660จุด แนวรับอยู่ที่ 1550/1500 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความเสี่ยงโลกที่ผ่อนคลายไปในทางที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาการค้าเฟสแรกระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปัญหาBrexit การผ่านร่างวาระ 2 - 3 งบประมาณรายจ่ายปี2020 ที่ล่าช้า การโหวตผ่านญัตติไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน และการประกาศจ่ายเงินปันผลปี2019 ของบริษัทจดทะเบียน ฯลฯ ส่วนความเสี่ยง คือ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจและผลกำไรบริษัทจดทะเบียนที่แย่กว่าคาดการณ์ และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ปรับสูงขึ้นหากหลายปัจจัยโลกไม่คลี่คลายในทางที่ดี ฯลฯ ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ตลาดจะให้ความสนใจต่อตัวแทนของพรรคเดโมแครตที่จะเข้ามาเป็นคู่แข่งชิงกับประธานาธิบดีทรัมป์ของพรรครีพับลิกัน ภายหลังจากหลายรัฐในสหรัฐฯ เริ่มต้นกระบวนการเลือกคณะผู้จัดตั้ง (Electoral College)โดยจะมีความเสี่ยงเชิงลบต่อตลาด หากนาง Elizabeth Warren ได้รับการคัดเลือก
ปัจจัยบวกมีดังนี้
1. โลก-รายงานตัวเลขภาคการผลิตโลก มีแนวโน้มฟื้นตัวตามลำดับ สะท้อนเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงต่ำที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี2020
2. โลก-การเซ็นสัญญาการค้าเฟสแรกระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
3. ไทย-การประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี2019 ของบริษัทจดทะเบียน และคาดว่าจะมีบริษัทฯ จำนวนมากให้ยิลด์ปันผลสูง 3-5%
4. ไทย-สภาผู้แทนราษฎร/วุฒิสภา พิจารณาผ่านร่างกฎหมายงบประมาณปี2020 วาระ 2 และวาระ 3 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท8 - 9 ม.ค. และ 20 ม.ค. ก่อนให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ วันที่27 ม.ค. 2020
ปัจจัยลบและปัจจัยเสี่ยงได้แก่
1. ไทย-การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของพรรคฝ่ายค้าน เพิ่มความเสี่ยงระยะสั้น เนื่องจากเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลปริ่มน้ำ
2. ไทย-การทยอยประกาศงบการเงินปี2019 ของบริษัทจดทะเบียนไทย มีความเสี่ยงที่จะออกมาแย่กว่าคาดการณ์
3. ไทย-การปรับลดเป้าหมายเติบโตเศรษฐกิจไทยปี2019-20E (เราปรับลดเป้าหมายเติบโตเหลือ2.5% และ 2.8% Vs เดิม 2.7% และ 3.2% ตามลำดับ)
4. โลก-จับตารายงานตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ4Q19E GDP/ 2019E GDP ของประเทศขนาดใหญ่ของโลก อาทิ จีน สหรัฐฯ อียู ญี่ปุ่น ฯลฯ
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาได้แก่
1.สหรัฐฯ-กระบวนการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี2020 เริ่มต้น โดยจะเริ่มต้นสรรหาคณะผู้จัดตั้ง (Electoral College)ของรัฐต่างๆ นำโดย รัฐไอโอว่า วันที่ 3 ก.พ. และSuper Tuesday วันที่ 3 มี.ค.(หลายรัฐมีกำหนดการคัดสรรพร้อมกัน) ฯลฯ
2. โลก-จับตาผลการเจรจาBrexitระหว่าง UK กับ EU
3. โลก-MSCI-รายงานทบทวนประจำไตรมาสวันที่12 ก.พ. 2020
4. ธนาคารกลางทั่วโลก-จับตารายงานประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น และไทย
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคที ซีมิโก้ ให้มุมมองการลงทุนทางเทคนิคคอล โดยมองว่าดัชนีในภาพรวมใหญ่ยังคงแนวโน้มเคลื่อนไหว Sideways Downหลังจากทำ All Time High ที่ 1,852.51 จุด ซึ่งดัชนีอยู่ในทิศทางดังกล่าวมาตลอด2 ปี โดยมีแนวรับ 1,468 จุด และแนวต้าน1,710 จุด การฟื้นตัวของดัชนีที่จะกลับขึ้นไปหาแนวต้านใหญ่นั้น ดัชนีจะต้องสามารถผ่านแนวต้าน1/3 ของ Fibonacci ที่ 1,651 จุดให้ได้ก่อน ส่วนการปรับตัวลงนั้น ก็ไม่ได้มองว่าดัชนีจะไหลลงไปแบบรวดเดียว และจะมีรีบาวด์สลับเข้ามาเป็นช่วง ๆ เพราะดัชนีได้มีแนวรับหนาแน่นเช่นกัน ไล่เรียงตั้งแต่แนวรับ1,546 จุด, แนวรับเส้น EMA 75เดือนที่ 1,522 จุด
อย่างไรก็ตามสำหรับแนวโน้มในระยะสั้นนั้น ดัชนียังมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้าน1,605จุด ถ้าผ่านจุดนี้สำเร็จ จะเร่งให้ดัชนีขยับขึ้นมาที่ 1,620 - 1,643จุด ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ดัชนีมีการฟื้นตัวจริงจังตามมาได้ ขณะที่ดัชนีจะมีแนวรับย่อยที่1,580 และ 1,565 จุด กลยุทธ์การลงทุน เน้นไปที่ ลงซื้อ ขึ้นขาย
ส่วนการลงทุนในตลาดสินค้าTFEX หรือตราสารอนุพันธ์ นายภมร สุวรรณสาครกุล ผู้อำนวยการฝ่าย บล. เคที ซีมิโก้ ได้แนะนำซื้อCall Options เพื่อลุ้นทำกำไรภายในเดือน ม.ค. หากอิงจากสถิติSET จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกในเดือน ม.ค. ในช่วง 5 ปีทีผ่านมาเฉลี่ย +3.6% แต่การเก็งกำไรด้วยSET50 ฟิวเจอร์ส อาจมีความเสี่ยงในการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin call)หากดัชนีเคลื่อนไหวผิดทาง ดังนั้นสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้และมีการจัดสรรเงินลงทุนออกมาเพื่อLong Options (ไม่มีความเสี่ยงถูก Margin Call) สามารถทำกำไรเมื่อดัชนีปรับตัวเข้าโซน 1100 จุด
ส่วนยอดซื้อขายต่างชาติบนSET50ฟิวเจอร์ส มีนัยต่อทิศทางตลาด ซึ่งตัวเลขซื้อขายสุทธิบน SET50 ฟิวเจอร์ส ของต่างชาติจะมีผลต่อการปรับตัวของSET50 ในวันถัดมา จากการ Back test 19 ครั้ง (2013 - 2019) พบว่าหากต่างชาติShort สุทธิตั้งแต่ 2 หมื่นสัญญาขึ้นไป ในวันถัดมา (T+1)SET50 มีโอกาส 68% ที่จะปรับลดลงเฉลี่ย 7 จุด (Max -19 จุด)
และสำหรับหุ้นอ้างอิงที่มีโอกาสถูกList เข้าเทรดบนกระดาน Stock futures ในปี 2020 ได้แก่AWC, OSP, TOA, M ซึ่งถือเป็นหุ้นที่มี Market Cap. สูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท มีสภาพคล่องสูง และมีความผันผวน อย่างไรก็ดีTFEX นั้นไม่ได้มีเกณฑ์ชัดเจนเกี่ยวกับเวลาและเงื่อนไขในการคัดเลือก