อีซี่มันนี่เปิดตัวยกระดับเป็นสถาบันสินเชื่อทางเลือกให้แก่คนไทยทั้งมนุมษย์เงินเดือน-เอสเอ็มอี พร้อมเปิดเพิ่มอีก 10 สาขา เป็น 60 สาขา ชูจุดเด่นรวดเร็ว การประเมิน-จัดเก็บทรัพย์ที่มีมาตรฐาน คาดปีนี้ธุรกิจโต 20%
นายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทตั้งธนสิน จำกัด ผู้ให้บริการโรงรับจำนำอีซี่มันนี่ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของยอดสินเชื่อรับจำนำที่ 20% พร้อมเพิ่มจำนวนสาขาอีก 10 แห่งในต่างจังหวัด ซึ่งทำให้มันนี่อีซี่เป็นโรงรับจำนำเอกชนที่มีจำนวนสาขามากที่สุด โดยปัจจุบันมีจำนวน 50 สาขาใน 28 จังหวัดใน 5 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ กลาง ตะวันออก อีสาน และใต้ พร้อมทั้งเปิดตัวสู่การเงินสถาบันสินเชื่อทางเลือกของคนไทย ด้วยบริการที่รวดเร็วจากผู้เชี่ยวชาญด้านการรับจำนำมืออาชีพ ด้วยการประเมินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานและแม่นยำ อีกทั้งยังมีความหลากหลายในการรับจำนำ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ เครื่องเพชร นาฬิกา สินค้าแบรนด์เนม และสินค้าไอที
"จากเดิมที่โรงรับจำนำมักจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี 15 ปีก่อนอีซี่มันนี่ก็เข้ามาด้วยการปรับภาพลักษณ์ใหม่ สถานที่่สว่างโล่ง โอ่โถง เจ้าหน้าที่ให้บริการด้วยความอ่อนน้อม สุภาพ และที่สำคัญคือ ประเมินราคาที่ยุติธรรม และการจัดเก็บทรัพย์ที่ดี ทำให้เราได้รับการตอบรับที่ดี และขณะนี้เข้าสู่ปีที่ 15 ด้วยสาขาจำนวน 50 แห่ง และจะเพิ่มอีก 10 สาขาในงบประมาณ 40-50 ล้านต่อสาขา ก็คิดว่าเราพรัอมที่จะเป็นสถาบันสินเชื่อทางเลือกของคนไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย เอสเอ็มอี และ Start up ซึ่งการจำนำก็คือการให้สินเชื่อระยะสั้นอย่างหนึ่งที่ให้คุณสามารถแปลงสินทรัพย์เป็นเงินได้โดยใช้ขั้นตอนน้อยที่สุด ใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวไม่ต้องกรอกแบบฟอร์มอะไร"
ทั้งนี้ ปัจจุบันลูกค้าของแบ่งออก 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่ต้องการเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้จากเงินเดือนเป็นหลัก แต่มีความสามารถในการเก็บออมทรัพย์สินมีค่า ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับ และทองคำ ซึ่งถ้ามีค่าใช้จ่ายก็จะนำทรัพย์มาเปลี่ยนเป็นเงินเอาไปใช้จ่าย อันนี้พฤติกรรมการจำนำหรือการไถ่ถอนทรัพย์ก็จะเป็นตามฤดูกาล เช่น ปลายปีมีโบนัส ช่วงตรุษจีน สงกรานต์ จะมีการไถ่ถอนมาก ขณะที่ช่วงใกล้เปิดเทอมจะมีการจำนำมากเป็นพิเศษ เพื่อนำเงินไปใช้ในการศึกษาของบุตรหลาน กลุ่มนี้ถ้าเศรษฐกิจฝีดเคือง มีการตกงาน หรือไม่มีโบนัส ตัวเลขการไถ่ถอนจะน้อย อันนี้ก็บอกสภาพเศรษฐกิจได้
และลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งคือ ผู้ประกอบธุรกิจ มีตั้งแต่พ่อค้า แม่ค้ารายย่อย ไปถึงผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้เข้าโรงรับจำนำเพื่อนำเงินไปลงทุน ต่อยอดธุรกิจ ขยายธุรกิจ สต๊อกสินค้า หรือใช้เป็นเครื่องเสริมสภาพคล่องในช่วงที่รายรับรายจ่ายไม่สมดุลกัน กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมาจำนำมากๆ แสดงว่าเป็นช่วงโอกาสการค้าขายที่คึกคัก เศรษฐกิจดี จึงต้องการเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นเพิ่มขึ้น พอมีรายได้ก็มาไถ่ถอน อันนี้ก็เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจว่าคึกคัก หรือซบเซาได้
นายสิทธิวิชญ์ กล่าวอีกว่า โรงรับจำนำเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจไทยระดับหนึ่ง อันนี้จากประสบการณ์และจากธุรกิจของเราที่ติดต่อและสัมผัสลูกค้าโดยตรงทุกราย ทำให้เราได้ข้อมูล และวัตถุประสงค์การใช้เงินจากแหล่งข้อมูลโดยตรง ซึ่งนอกจากดูจากพฤติกรรมการนำสินค้ามาจำนำและไถ่ถอนคืนแล้ว อัตราทรัพย์หลุดไถ่ถอนก็เป็นอีกตัวที่สามารถบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง โดยปัจจุบันยอดทรัพย์หลุดไถ่ถอนในปี 2562 ที่ผ่านมา อยู่ในอัตรา 4.9% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ประมาณ 5% และในปีนี้ก็น่าจะทรงตัว แต่หากยอดทรัพย์หลุดขึ้นไปถึง 7% ก็จะถือว่าเป็นระดับที่น่าเป็นห่วงหรือเศรษฐกิจชะลอตัวมาก แต่เท่าที่ผ่านมา ยังไม่มีช่วงไหนที่ขึ้นไปถึงระดับดังกล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจปี 2563 ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายจากปัจจัยที่เข้ามาในหลายๆ ด้าน แต่บริษัทเชื่อว่ายังมีความต้องการของสภาพคล่องยังมีอยู่ตลอด ทั้งในส่วนธุรกิจที่ต้องการลงทุนใหม่ และธุรกิจที่ต้องการสภาพคล่อง โดยวงเงินเฉลี่ยต่อรายสำหรับลูกค้าพนักงานประจำประมาณ 20,000 บาท เอสเอ็มอีเฉลี่ย 100,000 บาทต่อราย ในอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน สัดส่วนลูกค้าพนักงานประจำอยู่ในสัดส่วน 75% ที่เหลือเป็นลูกค้าธุรกิจ 25% ขณะที่รายได้ส่วนใหญ่ 70-80% มาจากรายได้ดอกเบี้ย และอีกส่วนจะมาจากการขายทรัพย์หลุดจำนำซึ่งปัจจุบันบริษัทมีช่องทางการขายทั้งตามสาขา ร้าน Easy Money Shop ร้านขายสินค้ามือสอง จำนวน 2 ร้าน รวมถึงการขายผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย