SELIC มั่นใจรายได้ปีนี้โตเป็นตัวเลข 2 หลัก แม้ว่าในช่วงต้นปีนี้จะมีความไม่แน่นอนหลายปัจจัย ทั้งสงครามทางค้าระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว ยันราคาน้ำมันพุ่งยังไม่กระทบต้นทุน พร้อมหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ
นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 63 รายได้จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แม้ว่าในช่วงต้นปีนี้จะมีความไม่แน่นอนหลายปัจจัย ทั้งสงครามทางค้าระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทได้มีการปรับตัวมาแล้วตั้งแต่ช่วงปี 61 ซึ่งเบื้องต้นส่งผลให้ผลประกอบการช่วง 9 เดือนของปี 62 ฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยบริษัทได้มีการกระจายสินค้าไปยังหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกาวที่ใช้สำหรับสลากเครื่องดื่มแบบขวด แบบกระป๋อง กลุ่มอาหารแช่เย็น และเครื่องใช้อุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ขณะที่บริษัทมองว่าสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันให้ปรับตัวสูงขึ้นนั้น แม้จะมีผลต่อราคาวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิตของบริษัท แต่ปัจจุบันสามารถตรึงราคาวัตถุดิบเอาไว้ได้ จึงยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับตัวขึ้นสูงมากกว่านี้และสถานการณ์เกิดขึ้นในระยะยาวก็อาจจะมีผลกระทบบ้าง ซึ่งบริษัทจะบริหารจัดการให้ดีที่สุด
"เรายังคงเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีความไม่แน่นอนหลายๆ อย่างเข้ามา แต่เราก็ยังสามารถบริหารจัดการได้ และเราถือว่ามีการจำหน่ายสินค้าไปในหลายกลุ่ม และถือว่าอยู่ในกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันเราจึงไม่กังวล แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังคงติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด" นางสาวยุวดีกล่าว
นางสาวยุวดีกล่าวอีกว่า บริษัทยังคงมองหาและเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกิจการที่มีความเกี่ยวเนื่องและสนับสนุนการเติบโตของบริษัท ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการหาเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม โดยยอมรับว่าการเพิ่มทุนจดทะเบียนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะรองรับการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง และลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลง จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 3 เท่า และมีหนี้เงินกู้ที่ใช้ในการเข้าซื้อกิจการกลุ่ม PMC ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งมีภาระดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 40 ล้านบาทต่อปี