สรรพสามิต เผยต้นปี 63 เตรียมเสนอ "รมว.คลัง" พิจารณาจัดตั้งกองทุนส่งเสริมและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า เพื่อเก็บเงินมัดจำแบตเตอรี่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าลูกละไม่เกิน 1 พัน/ยูนิต หวังบริหารระบบการกำจัดแบตเตอรี่รถยนต์ คาดเปิดกองทุนปีแรกรถยนต์ไฟฟ้าเสียภาษีกว่า 1 หมื่นคัน
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ในต้นปี 63 กรมสรรพสามิตเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า เพื่อบริหารระบบในการกำจัดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นชอบในหลักการ และหลังจากนั้นจึงจะเริ่มต้นทำประชาพิจารณ์ ก่อนที่จะนำเสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์ดังกล่าวเป็นแบบลิเธียมไอออน, นิกเกิล เป็นต้น ไม่สามารถรีไซเคิลได้เหมือนกับแบตเตอรี่รถยนต์แบบตะกั่วกรด
ส่วนรูปแบบ พ.ร.บ.กองทุนส่งเสริมและพัฒนารถยนต์ EV ที่จะออกมานั้น กรมสรรพากรจะกำหนดให้ผู้ที่ซื้อรถยนต์ EV ทุกคันในประเทศต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าลูกละไม่เกิน 1,000 บาทต่อยูนิต โดยจะนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้ากองทุนเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนสำหรับใช้บริหารจัดการและติดตามการกำจัดแบตเตอรี่ และเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าครบอายุการใช้งานที่กำหนดแล้ว เจ้าของรถจะต้องส่งแบตเตอรี่คืนค่ายรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ทางกองทุนส่งเสริมและพัฒนารถนต์ EV จะคืนเงิน จำนวน 1,000 บาท ให้แก่เจ้าของรถคันนั้นๆ ทั้งนี้ ค่ายรถยนต์ก็จะนำแบตเตอรี่ไปทำลายอย่างถูกต้องด้วย
ส่วนกรณีที่ไม่มีการคืนแบตเตอรี่มายังค่ายรถยนต์ กองทุนฯ จะยึดเงินค่าธรรมเนียมจำนวน 1,000 บาทไป ซึ่งคาดว่าขณะนี้มีรถยนต์ไฟฟ้าที่อยู่ในระบบที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแล้วราว 10,000 คัน หรือคิดเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท
ส่วนเหตุผลสำคัญที่กรมสรรพาสามิตต้องเตรียมออกกฎหมายดังกล่าวนั้น เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีโรงงานกำจัดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ค่ายรถยนต์ต่างๆ จึงส่งแบตเตอรี่ออกไปกำจัดในต่างประเทศ อาทิ ค่ายฮอนด้า ส่งไปที่สิงคโปร์ก่อนแล้วจึงส่งต่อไปกำจัดที่ประเทศเบลเยี่ยม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม กรมสรรพสามิตเชื่อว่าหากผลักดันให้มีกองทุนดังกล่าวเกิดขึ้นได้แล้ว ก็จะช่วยส่งเสริมให้ค่ายรถยนต์กำจัดแบตเตอรี่ได้สะดวกและง่ายขึ้น