โบรกฯ ประเมินปีหน้า ตลาดหุ้นไทยไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่เลวร้ายกว่าเดิม มองไม่น่าลงทุน เพราะไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ยากจะเห็นการเติบโตเหมือนในอดีต กอปรกับเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ให้มุมมองต่อภาพรวมการลงทุนในเดือนธันวาคม 2562 และต่อเนื่องไปยังไตรมาส 1/2563 โดยนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยในปีปลายปี 2562 ยังคงไม่ดีนัก เนื่องจากผลกระทบในส่วนของความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และมองว่ายังคงอยู่ต่อไป ไม่มีทีท่าจะจบลงในเร็วๆนี้ ขณะที่ปีหน้าแนวโน้มภาพรวมการลงทุนในหุ้นไทย ถึงแม้ว่าจะไม่ดีขึ้น แต่ก็ประเมินว่าจะไม่เลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
โดยมองว่าที่ดัชนี SET INDEX ในปี 2563 คาดว่าจะแกว่งตัวอยู่ใระดับ 1,579-1,675 จุด โดยที่มีปัจจัยหลักยังคงต้องจับตามองไปที่ปัญหาการเจรจาเพื่อหาข้อยุติชั่วคราวของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ในแต่ละกรอบการเจรจาเป็นเรื่องๆไป แต่อย่างไรก็ตามอาจจะได้เห็นความชัดเจนของการเจรจายุติความขัดแย้งได้อย่างเร็วที่สุด ช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ปลายปีหน้า ที่นายทรัมป์ จะหมดวาระลง ขณะเดียวกันทิศทางแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีการชะลอตัวเกิดขึ้นต่อไปอีกจากความไม่แน่นอนที่ทำให้การค้าขายและการลงทุนต่างๆชะลอไป
ในส่วนของที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในประเทศมีแนวโน้มที่จะถูกปรับลดประมาณการลดลง หลังจากพิจารณาด้านผลประกอบการกำไรของบริษัทจดทะเบียน และสถานการณ์ในประเทศปีนี้ที่มีผลประกอบการลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งได้มีการปรับประมาณการกำไร บจ.ในประเทศปีนี้ลงมาอยู่ที่ 92.11 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 100.60 บาท/หุ้น ส่วนปี 2563 อาจจะมีการปรับตัวเลขขึ้นเล็กน้อยที่ 95.71 บาท/หุ้น จาก105 บาท/หุ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลของทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ทรงตัว ถึงแม้ว่าจะไม่ลดลงรุนแรง แต่ก็ไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นมากนัก
ขณะเดียวกันยังต้องรอดูว่าการที่กระทรวงการคลังเตรียมที่จะออกกองทุนใหม่ซึ่งจะเข้ามาแทนที่กองทุน LTF เดิมที่จะครบวาระและจะใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษีในปีนี้เป็นปีสุดท้ายก่อนที่จะยกเลิกไป จะมีความต้องการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งกระแสเงินที่จะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยจะเป็นเช่นไร
จากที่ผ่านมาเริ่มมีการส่งสัญญาณการชะลอตัวของเม็ดเงินกองทุน LTF บ้างแล้ว โดยเดือน พ.ย.ที่ผ่านมามีเม็ดเงินที่เข้ามาในกองทุน LTF เพียง 2,500 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าผิดปกติจากเดิมที่ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปี จะมีเงินเข้ามาในกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีนี้ไม่ต่ำกว่า 20,000ล้านบาท ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันจะต้องลุ้นกันดูว่าเดือน ธ.ค. นี้จะมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้ามาในกองทุน LTF ได้เท่ากับปีก่อนๆหรือไม่
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผูจัดการประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศในปี 2562 และปัญหาสงครามการค้าที่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และยังไม่ทีท่าจะยุติอย่างชัดเจน ทำให้ส่งผลต่อภาพรวมความเชื่อมั่นในการลงทุนไทยซึ่งจะกินระยะเวลาต่อเนื่องไปอีก โดยมองว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2563 ประเมินว่าทิศทางของดัชนีหุ้นไทย จะแกว่งตัวในในกรอบกว้างประมาณ 200 จุด หรือระดับที่ 1,500-1,700 จุด ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของการซื้อขายหุ้นทั่วโลกของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเน้นความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายรูปแบบการลงทุนทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ส่งผลให้ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นจึงมีความผันผวน
นอกจากนี้ปัจจัยหลักที่ยังคงกดดันดัชนี ฯ ยังคงอยู่ที่ปัญหาความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน รวมไปถึงตลาดหุ้นไทยยังมองว่าจะไม่เห็นการเติบโตขึ้น แต่จะเป็นการทรงตัวในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าภาครัฐจะมีการผลักดันการลงทุน แต่ยังมีความล่าช้าอยู่มาก ยังไม่สามารถที่จะเห็นผลบวกที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 2563 จะแกว่งตัวในกรอบเดิมๆและไม่เคลื่อนไหวโดดเด่นอย่างมีนัยยะสำคัญ
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2563 จะแกว่งตัวในกรอบจำกัดที่ 1,450-1,700 จากปัจจัยกดดันมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนของการเจรจายุติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ขณะที่แนวโน้มของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในปี 2563 ประเมินว่าลดลงมาอยู่ที่ 103 บาท/หุ้น จากปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 110 บาท/หุ้น โดยประเด็นหลักมาจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง และการที่ EPS ลดลงส่งผลต่อความน่าสนใจของนักลงทุนลดลง โดยที่มองว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้และปีหน้าไม่ค่อยน่าลงทุน เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เข้าสู่สงคมผู้สูงอายุ ทำให้การเติบโตในอนาคตจะไม่เห็นการเติบโตมากอย่างเช่นในอดีต ซึ่งหากมีโอกาสในการที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ ให้มองตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆเป็นทางเลือกในการลงทุน
นอกจากนี้การที่กำลังซื้อของโลกและกำลังซื้อในประเทศที่มีการชะลอตัวเกิดขึ้น โดยเฉพาะกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนตัวลงมาก ส่วนหนึ่งมาจากการกระตุ้นการซื้อของภาคครัวเรือนจากนโยบายภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้คนไทยนำเงินในอนาคตมาใช้เป็นจำนวนมาก สุดท้ายจึงสะท้อนออกมาเป็นหนี้สินครัวเรือนในระดับสูง และกดดันต่อสภาพคล่องของตลาด อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศ ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น อาจจะทำให้ บริษัทคู่ค้าต่างประเทศของกลุ่มบริษัทที่ส่งสินค้าออกอาจชะลอการส่งมอบสินค้าออกไปก่อน