xs
xsm
sm
md
lg

“ศรีตรังโกลฟส์” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 444.78 ล้านหุ้น เล็งเข้าเทรดใน SET

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ศรีตรังโกลฟส์" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 444.78 ล้านหุ้น เล็งเข้าเทรดใน SET โดยมี บล.ฟินันซ่าเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เผยจะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนขยายกำลังผลิต พัฒนาไอที และคืนเงินกู้

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) บริษัทในเครือ บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (Filing) ฉบับแรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 62 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 444,780,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.ฟินันซ่าเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้

บริษัทจะแบ่งการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 432,780,000 หุ้น เสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ และจะจัดสรรจำนวนไม่เกิน 2,000,000 หุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ STA และบริษัทย่อยของ STA ส่วนอีกจำนวนไม่เกิน 10,000,000 หุ้น จะเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย

ทั้งนี้ ศรีตรังโกลฟส์ ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่น โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง ถุงมือยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง และถุงมือยางไนไตรล์ ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตทั้งหมด 3 แห่ง ตั้งอยู่ใน จ.สงขลา, จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ตรัง โดยรวมมีทั้งหมด 124 สายการผลิต และมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 24,325 ล้านชิ้นต่อปี

บริษัทถือหุ้นอยู่ในบริษัทย่อย 2 บริษัท ได้แก่ Shi Dong Shanghai Medical Equipment Co., Ltd. (SDME) ในประเทศจีนเพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายถุงมือยางในจีน และ Sri Trang USA, Inc. (STU) ในสหรัฐอเมริกาเพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายถุงมือยางในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทถือหุ้นใน SDME และ STU ทั้ง 100%

บริษัทมีวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อขยายกำลังการผลิตและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตถุงมือยาง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างสายการผลิตเพิ่มเติมใน 2 โครงการ รวม 9,228 ล้านชิ้น/ปี รวมเงินลงทุน 3,784.36 ล้านบาท คาดวาจะเริ่มผลิตได้ภายในปี 63 และศึกษาความเป็นไปได้อีก 2 โครงการ รวม 20,740 ล้านชิ้น/ปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 12,140 ล้านบาทในช่วงปี 63-68

รวมทั้งให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อย และเพื่อการลงทุนในโครงการต่างๆ, ใช้ติดตั้งระบบ SAP ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานและฐานข้อมูลสู่ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) แบบสมบูรณ์เพื่อใช้ในการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจของแต่ละส่วนงานและทั่วทั้งองค์กร รวมทั้งชำระคืนหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน และ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 2 ธ.ค. 62 ประกอบด้วย STA ถือหุ้น 725,037,300 หุ้น คิดเป็น 73.2% หลังเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 50.7%, บริษัท รับเบอร์แลนด์โปรดักส์ จำกัด (RBL) ถือหุ้น 77,663,400 หุ้น คิดเป็น 7.8% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 5.4% และกลุ่มครอบครัวสินเจริญกุล ถือหุ้น 89,285,900 หุ้น คิดเป็น 9.0% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 6.3%

ผลประกอบการของบริษัทในช่วงปี 59-61 มีรายได้จากการขาย 9,084.67 ล้านบาท, 11,246.91 ล้านบาท และ 10,988.60 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรขั้นต้น 985.04 ล้านบาท, 798.35 ล้านบาท และ 1,822.33 ล้านบาท ตามลำดับ และกำไรสุทธิ 594.91 ล้านบาท, 214.54 ล้านบาท และ 891.58 ล้านบาท ตามลำดับ

งวด 9 เดือนแรกของปี 62 บริษัทมีรายได้จากการขาย 8,856.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 7,869.04 ล้านบาท และมีกำไร 432.86 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 774.06 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย.62 บริษัทสินทรัพย์รวม 12,785.31 ล้านบาท หนี้สินรวม 8,569.98 ล้านบาท และส่วนผู้ถือหุ้นรวม 4,215.33 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังจากการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามข้อบังคับของบริษัท และตามกฎหมายแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น